Thursday 4 August 2011

ລັກສະນະຜຍາ

๒.๑.๒ ลักษณะของคำผญาอีสาน
รูปและและลักษณะของคำผญามองในด้านภาษาศาสตร์จะพบว่า ผญามีรากศัพท์มาจาก “ปัญญา”ในภาษาบาลี ในภาษาสันสกฤตใช้ว่า “ปรัชญา” แต่เมื่อพูดในภาษาท้องถิ่นจะเพี้ยนมาเป็นคำ “ปร” เป็น “ผ”ซึ่งมีหลายคำเช่น เปรต ชาวอีสานออกเสียงเป็น เผด โปรดออกเสียงเป็นโผด ดังนั้นคำผญาภาษิตอีสานจึงเป็นกลุ่มคำที่มีลักษณะดังนี้คือ
๑) มีลักษณะคล้องจ้องกันในด้านสัมผัส ฟังแล้วรื่นหูมีทั้งที่เป็นกาพย์ หรือกลอน
๒)มีความหมายที่ลึกซึ่งผู้ฟังหรือผู้อ่านต้องใช้ปัญญาหยั่งรู้จึงจะเข้าใจในความหมายที่แฝงเร้นอยู่ในข้อความหรือกลุ่มคำนั้นๆ
๓) เป็นหมู่คำที่แสดงออกในเชิงการมีไหวพริบปฏิภาณของผู้พูด
๔) เป็นหมู่คำที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตและใช้เป็นปรัชญาในการดำเนิดชีวิตได้
ลักษณะของคำประพันธ์อีสานนั้นมี ๔ ประการ๙ ซึ่งแต่ละลักษณะจะแตกต่างกันไม่เด่นชัดนัก ได้แก่ กาบ (กาพย์) โคง(โคลง) ฮ่าย (ร่าย) และกอน(กลอน) บทร้อยกรองที่เป็นที่นิยมของชาวอีสานนั้นมีอยู่ ๓ ชนิด๑๐ คือ
๑) ชนิดที่ไม่มีสัมผัส แต่อาศัยจังหวะของเสียงสูงต่ำของวรรณยุกต์และจังหวะของคำเป็นเกณฑ์ คำผญาเหล่านี้ก็คือโคลงดั้น หรือกลอนอ่านวิชชุมาลีนั่นเอง ดังตัวอย่างนี้คือ
(ครันเจ้า) ได้ขี่ช้าง กั้งฮ่มเป็นพญา
(อย่าสู้) ลืมความหลัง ขี่ควายคอนกล้า ๒ บาทแรก
ไม้ล้อมรั้ว ลำเดียวบ่ข่วย
ไพร่บ่พร้อม แปลงบ้านบ่เฮือง ๒ บาทหลัง
บทผญาของภาคอีสานมีลักษณะที่ตัดมาจากโคลงดั้นวิชชุมาลี โดยตัดมาเพียงบาทเดียวหรือ ๒ บาท และ ๓ บาท ก็ได้ ที่นิยมก็คือมักตัดมาใช้ ๒ บาทหลังของโคลงคือบาทที่ ๓ และ ๔ เป็นส่วนมาก ลักษณะอย่างนี้ทำให้สามารถที่จะเพิ่มคำแทรกลงภายหลังในวรรคได้ซึ่งมักเป็นคำเดี่ยวมีเสียงเบาและสามารถมีคำสร้อยอยู่ท้ายวรรคได้อีก ๒ คำ ดังนั้นบทผญาก็ดี หรือรูปแบบของโคลงในวรรคกรรมลายลักษณ์ก็ดี ในยุคแรกนั้นไม่มีสัมผัสเลย แต่มาในยุคหลังก็ได้พัฒนามามีสัมผัสมากขึ้น โดยได้รับอิทธิพลมาจากร่ายและโคลงนั้นเอง
๒) ชนิดที่มีสัมผัสแบบร่าย คือใช้สัมผัสระหว่างวรรคต่อเนื่องรับกันไปเหมือนลักษณะของร่ายเกิดเป็นโคลงดั้นที่มีสัมผัสอย่างร่าย ดังตัวอย่างนี้
“ ครันเจ้า คึดฮอดอ้าย ให้เหลียวเบิ่งเดือนดาว
สายตาเฮา จวบกันเทิงฟ้า
จะเห็นว่ามีสัมผัสรับกันแห่งเดียวคือตรงคำว่า “ดาว” กับ “เฮา” ลักษณะการรับสัมผัสแบบร่ายนี้ได้พัฒนามามีสัมผัสมากขึ้นในยุคหลัง ซึ่งจะเห็นได้จากลักษณะของกลอนลำต่างๆ
๓) ชนิดที่มีสัมผัสแบบโคลง โคลงดั้นวิชชุมาลีของอีสานแบบเก่าไม่มีสัมผัส ต่อมาก็ได้พัฒนาโดยวางสัมผัสแบบโคลงอย่างของภาคกลาง มีทั้งลักษณะสัมผัสแบบโคลงดั้นบาทกุญชรและโคลงดั้นวิวิธมาลี และมีทั้งลักษณะสัมผัสแบบโคลงสุภาพ ซึ่งในตำราล้านช้างเรียกว่า “มหาสินธุมาลี” ไม่ค่อยได้รับนิยมเท่าไหร่ บทร้อยกรองในภาคอีสานได้พัฒนามาจากรูปแบบที่ยึดถือเรื่องจังหวะคำและระดับเสียงสูงต่ำเป็นเกณฑ์ โดยไม่มีสัมผัสเลยไปสู่รูปแบบที่มีสัมผัสเพิ่มมากขึ้นในยุคหลัง ด้วยเหตุนี้ โคลงห้า ผญา โคลงดั้นวิชชุมาลี (หมายรวมถึง โคลงสาร, กลอนอ่านวิชชุมาลี, กลอนอักษรสังวาส,กลอนเทศน์) และกลอนลำของอีสานจึงล้วนมีพัฒนาการร่วมเส้นทางเดียวกันมา ในขณะที่พัฒนาการอีกเส้นทางหนึ่งคือ คำประพันธ์ของอีสานที่เรียกว่า กาพย์และฮ่าย(ร่าย) ซึ่งมุ่งเรื่องสัมผัสเป็นเกณฑ์ ก็ได้มามีอิทธิพลผสมผสานกันนี้คือพื้นฐานของบทร้อยกรองที่ปรากฏในผญาของภาคอีสาน ลักษณะทั่วไปของผญาอีสานยังแบ่งออกได้อีก ๒ ประการคือ
๑) จัดแบ่งตามแบบฉันท์ลักษณ์ของบทผญา
๒) จัดแบ่งตามลักษณะเนื้อหาของบทผญา
๒.๓.๓ จัดแบ่งตามรูปแบบทางฉันทลักษณ์ของผญา ยังแบ่งย่อยออกมาได้อีก ๒ ประการคือ
๑) บทผญาที่มีสัมผัส การใช้ถ้อยคำให้เกิดความคล้องจองกันเป็นลักษณะประจำที่มีสอดแทรกในชีวิตประจำวันของชาวอีสาน หรือ ถือเป็นความนิยมในการพูด คำผญาประเภทนี้มักมีอยู่ในรูปของร้อยกรอง มีสัมผัสระหว่างวรรคติดต่อกันโดยตลอด และมีสัมผัสภายในวรรค สัมผัสในบทผญาอีสานยังแบ่งออกเป็นสัมผัสสระและสัมผัสอักษรดังนี้คือ
๒) สัมผัสสระ คือคำที่ผสมด้วยเสียงสระเดียวกันและเสียงตัวสะกดเดียวกัน การสังสัมผัสจะส่งระหว่างวรรคต่อเนื่องกันในผญาบางบทจะส่งสัมผัสภายในวรรคก็มี เช่น “มีเฮือนบ่มีฝา มีนาบ่มีฮ่อง มีปล่องบ่มีฝาอัด
มีวัดบ่มีพระสงฆ์ มีถ่งบ่มีบ่อนห้อย ของแนวนี้กะบ่ดี
( มีบ้านไม่ฝา มีนาไม่มีร่องน้ำ มีปล่องไม่มีฝาปิด มีวัดไม่มีพระสงฆ์ มีถุงไม่มีที่ห้อย ของเหล่านี้ก็ไม่ดี)
“ตกหมู่ขุนซ่อยขุนเกื่อม้า ตกหมู่ข้าซ่อยข้าพายโซน ตกหมู่โจร ซ่อยโจรหามไหเหล้า”
(ตกไปอยู่ในพวกขุนนางต้องช่วยเขาเลี้ยงม้า ตกไปอยู่กับพวกข้าต้องช่วยข้าสะพายสิ่งของตกไปอยู่ในพวกโจรต้องช่วยโจรหามไหเหล้า)
จากผญาที่ยกมานี้ จะสังเกตเห็นว่า คำสุดท้ายของแต่ละวรรคจะส่งสัมผัสไปยังวรรคต่อๆไปอย่างต่อเนื่อง
๓) สัมผัสอักษร คือคำที่มีเสียงพยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน คำที่มีสัมผัสอักษรเป็นที่นิยมมากในบทผญาอีสาน สัมผัสอักษรส่วนมากจะสัมผัสภายในวรรค และจะมีสัมผัสระหว่างวรรคบ้างเล็กน้อย เช่น
“ โมโหนี้พาโตตกต่ำ ให้ค่อยคึดค่อยต้านยังสิได้ต่อนคำ”
(ความโกรธนี้พาตัวเองให้ตกต่ำ(มีคุณค่าน้อยลง) ควรคิดให้รอบคอย จึงจะมีประโยชน์)
“ เชื้อชาติแฮ้งบ่ห่อนเซิ่นนำแหลว แหนวนามหงส์บ่อห่อนเซิ่นนำฝูงฮุ้ง”
(เชื้อชาติแร้งไม่ควรบินไปกับเหยี่ยว เชื้อชาติหงส์ไม่ควรบินไปกับฝูงนกอินทรีย์)
“ ชื่อว่าสงสารซ้ง กงเกวียนกลมฮอบ
เวรหากมาคอบแล้ว วอนไหว้กะบ่ฟัง”
(ชื่อว่าสังสารวัฏนั้นกลมเหมือนล้อเกวียน เมื่อผลกรรมมาถึงแล้ว ถึงแม้จะขอร้องอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่สามารถห้ามได้)
๓) ผญาที่ไร้สัมผัส หมายถึงบทผญาที่ไม่ได้ส่งสัมผัสต่อเนื่องกันไป ผญาชนิดนี้มีเสียงสูงต่ำของเสียงวรรยุกต์และจังหวะของถ้อยคำเป็นสิ่งที่ช่วยให้มีเสียงไพเราะ เช่น
“ อย่าได้หวังสุขย้อน บุญเขามาเพิ่ง
สุขกะสุขเพิ่นพุ้น บ่มากุ้มฮอดเฮา”
(อย่าได้คิดหวังถึงความสุขจากคนอื่น สุขก็สุขของเขาไม่มาถึงเรา)
“สัจจาแม่หญิงนี้คือหินหนักหมื่น ถิ้มใส่น้ำจมปิ้งแม่นบ่ฟู
( สัจจะของผู้หญิงนี้หนักแน่นเหมือนก้อนหิน ทิ้งลงน้ำจมสู่พื้นไม่โผล่ขึ้นมา)
“ของกินให้ซมดูดมดูด มันหากเป็นโทษแล้ววางถิ้มอย่ากิน”
(ของกินให้พิจารณาดู ดม ดูด หากเป็นโทษแล้ว จงวางทิ้งอย่ากิน)
๒.๑.๓ สำนวนเปรียบเทียบ โวหาร และสัญญลักษณ์ที่ปรากฏในผญาอีสาน
การใช้เป็นความเปรียบเทียบสภาพสิ่งต่างๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมอย่างน้อยที่สุดสองอย่าง เพื่อช่วยให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ สำนวนเปรียบเทียบในผญาอีสานมีลักษณะพอสรุปได้ดังนี้
๑. ใช้เป็นบุคลาธิษฐาน [ personification] เป็นการใช้ภาษาในลักษณะที่ทำให้ดูเหมือนว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่ไม่คนเป็นคน โดยให้สรรพสิ่งเหล่านั้นแสดงอากัปกิริยาต่างๆ ราวกับเป็นคน คือพูดได้ ร้องให้ได้ มีความรู้สึก เป็นการพูดเพื่อให้เกิดคติพจน์และสเทือนอารมณ์ หรือทำให้เกิดสิ่งที่มีคุณค่า ดังคำผญานี้ว่า
“ เจ้าผู้นาไฮ่ล่งประสงค์ดำแต่กล้าแก่ กล้าอ่อนมีบ่แพ้ดำได้กะบ่งาม” ( เจ้าผู้นาผืนลุ่มประสงค์ดำแต่กล้าแก่ กล้าอ่อนมีมากมาย ปลักดำได้ก็ไม่งาม)
นาไฮ่ล่ง เป็นนาที่ลุ่มที่สมบูรณ์มีน้ำมาก ใช้เปรียบเทียบกับสตรีที่มีความงดงามและมีฐานะดี เพราะนาอย่างนี้เป็นที่สมบูรณ์มากกว่านาดอนที่ไม่มีน้ำท่วมถึงย่อมขาดแคลน เปรียบเทียบให้เห็นว่า ชีวิตมนุษย์ย่อมแสวงสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง เหมือนบุรุษย่อมแสวงหาสาวที่งดงามและมีฐานะมั่นคงจึงจะทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น
คำผญาอีสานที่มักจะเปรียบเทียบให้เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวมากกว่าเช่น “ บัว, แก้ว,นิล ,ช้าง และหงส์” กวีมักจะนำมาใช้แทนสัญญลักษณ์ถึงสิ่งที่มีคุณค่าแก่ผู้สนใจ ดังคำผญานี้ว่า
“ เจ้าผู้แนวนามแก้วมหานิลอันประเสริฐ สังบ่ไปเกิดก้ำทางบ้านบ่อนนาง สังบ่เดินมาผ้ายคาเมบ้านน้องอยู่ ครั้นพี่มาอยู่พี้บ่มีได้อยู่นาน” ( เจ้าผู้เชื้อชาติแก้วมหานิลอันประเสริฐ ทำไมไม่ไปเกิดที่ทางบ้านน้อง ทำไมไม่เดินผ่านไปทางบ้านน้อง ถ้าพี่ไปอยู่ทางนั้นคงได้แต่งงานนานแล้ว)
แก้วและนิล ถือเป็นอัญมณีที่มีค่าสูงส่ง ใครก็ต้องการเก็บไว้ครอบครอง การที่เรียกคนที่ตนรักเช่นนี้เป็นการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญควรแก่การจะแต่งงานด้วย นักปราชญ์อีสานก็มักจะนำเอาสิ่งที่ตรงกันข้ามนำเปรียบเทียบสั่งสอนให้คนได้รู้จักไตรตรองพิจารณาให้รอบครอบ การครองคู่ชีวิตจะต้องอาศัยความอดทนต่อความลำบากต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังคำผญาสอนว่า
“โอ้ย ครั้นเจ้ามักข้อย แกงหอยให้มันเปื่อย แกงปลาให้เปื่อยก้าง แกงช้างให้เปื่อยงา” (โอ ถ้าคุณรักฉันจงแกงหอย แกงกระดูกปลา แกงงาช้างให้ยุ้ย) จะเห็นว่าทั้ง หอย ก้างและงาช้าง นั้นเป็นของแข็งที่ต้มแล้วไม่เปื่อยยุ่ย เป็นไปได้ยากมากที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้ละลายได้จะต้องใช้ทั้งเวลาและความอดทนมาก ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่าผญาอีสานมักจะแนะนำให้รู้จักกระรักษาสิ่งที่ดีแล้วให้อยู่ตลอด หรือให้มีความอดกลั้นต่ออุปสรรคต่างๆจึงจะพบกำความสำเร็จได้
๒. ใช้เป็นเชิงอุปลักษณ์ [Metaphor] คือใช้เป็นการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องนำมาเปรียบเทียบกันว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเท่ากันทุกอย่าง เป็นการเปรียบเทียบโดยนัย โดยใช้คำว่า อดสาห์ คือ ในการเปรียบเทียบหรืออาจจะไม่มีคำเหล่านี้เลยก็ได้ ดังคำผญาว่า
“อดสาห์ เลี้ยงช้างเฒ่าขายงาได้กินค่า เลี้ยงช้างน้อยตายจ้อยค่าบ่มี (อดทนเลี้ยงช้างแก่ๆไว้ขายงาได้ราคาดี หากว่าเลี้ยงช้างน้อยถ้าตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร) เปรียเทียบให้เห็นว่าถ้ารักกับคนที่มีอายุมากกว่าจะดีกว่ารักกับคนที่มีอายุน้อย จุดประสงค์ต้องการให้เลือกสรรเอาคนที่มีประสบการณ์มากกว่าคนหนุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความอดทนพอที่จะต่อสู้กับอุปสรรค์ของชีวิตในอนคตได้เท่ากับคนแก่ หรือตรงกับภาษิตว่า วัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อน เรื่องบุพเพสันนิวาสนี้เป็นสิ่งที่ใครๆก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ถ้าคนเราเคยสร้างกุศลมาร่วมกันย่อมได้พบกันอีก แต่ถ้าความรักไม่สมหวังก็มักจะพูดว่า “ เหลือแฮ็งสร้างกฐินบ่ได้แห่ บาดผู้เพิ่นบ่สร้าง สังมาให้แห่มา” (เสียแรงสร้างกองกฐินใหญ่โตแต่ไม่ได้แห่ ทีคนที่ไม่ได้สร้างทำไมได้มาแห่ ) คำผญาบทนี้สะท้อนถึงอารมณ์ของผู้ที่อกหักได้ดี หมายถึงคนอื่นได้ไปครอบครอง กวีมักจะนำเอาสิ่งสองอย่างมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เป็นมนุษย์ควรที่จะรักษาคำสัตย์ต่อกัน ดังคำผญาว่า
“ สัจจาแม่หญิงนี้ คือกวยกะต่าห่าง
ถิ้มใส่น้ำ ไหลเข้าสู่ตา
“สัจจาผู้ชายนี้ คือหินนักหมื่น
เซือกผูกทื้น พันเส้นบ่ติ่ง
(วาจาของสตรีเปรียบเหมือนตะกร้าที่ตาห่าง ทิ้งลงในน้ำย่อมไหลเข้าทุกแห่ง และวาจาของบุรุษเปรียบเหมือนหินที่หนัก ๑๒ กิโลกรัม เอาเชือกผูกพันเส้นมาดึงก็ไม่ขยับเขยื้อน ) เปรียบให้เห็นว่าคำพูดของสตรีเชื้อถือได้อยาก ส่วนคำพูดของผู้ชายมีความนักแน่นควรเชื้อถือได้ นี้เป็นคำที่คู่สนทนาระหว่างสตรีกับบุรุษที่ต่างกันก็ยกเหตุผลมาอ้างว่าฝ่ายตนเองนั้นมีสัจจะ แต่มนุษย์ชายหญิงในโลกนี้ย่อมมีทั้งที่ยึดหมั่นในคำสัตว์ แต่ก็มีมากที่ไม่มีคำพูดที่เป็นคำสัตย์ต่อกัน คือมีดีและเสียเท่าๆกัน ถ้ามีดีตลอดก็จะไม่มีใครผิดหวังเพราะความรัก ในเมื่อโลกมนุษย์ยังตกอยู่ในโลกธรรมแปด
๓. ผญาเชิงอุปมา [Simile] คือคำผญาที่ใช้ในเชิงเปรียบเทียบที่ทำให้เข้าใจง่ายแบบตรงไปตรงมา การเปรียบเทียบด้วยวิธีนี้เป็นการนำของสองอย่างมาเปรียบเทียบกันว่าเหมือนกันคือมีลักษญะคล้ายกัน มักจะมีคำว่า ปาน เป็นดั่ง เสมอ เปรียบ เปรียบดั่ง ปุนปานดังคำผญานี้คือ
ปาน : เจ็บปานไฟไหม้ เจ็บใจปานฟ้าฝ่า
เจ็บแสบฮ้อน ปานปิ้งปิ่นปลา
(เจ็บอกดั่งไฟไหม้ เจ็บใจดั่งฟ้าฝ่า เจ็บปวดร้าวดั่งปิ้งปลาในไฟ)
ปุนปาน : น้องอยากได้หน่วยแก้วลูกประเสริฐมหาเพชร
พออยากแทงคอตาย หน่วยพระจันทร์เป็นต้น
ปุนปานแป้งเสนหาฮักห่อ อุ่นอกมาอุ่นฮ้อนปานน้ำอาบเย็น
(น้องอยากได้ลูกแก้วอันมีค่าเทียมมหาเพชรมาไว้ในครอบครอง ถ้าไม่ได้น้องจะแทงคอตายเพราะพี่เป็นต้นเหตุ เปรียบความเสน่หาความรักมีมากมาย ร้อนอกร้อนใจก็เปรียบได้อาบน้ำเย็นสบาย )
เป็นดั่ง : อ้ายนี้ เป็นดั่งลิงโทนเฒ่า กลางไพรเต้นไต่
แสนสิไห้ยั่งมื้อ บ่มีซู้อยู่ดอม
(พี่นี้ เป็นดั่งลิงโทนแก่ๆ ในป่าเต้นไต่ไปมาไม่มีคู่เคียงกาย)
เสมอดั่ง : น้องนี้ ปลอดอ้อยซ้อย เสมอดั่งตองตัด
ผัดแต่เป็นสาวมา กะบ่มีชายซ้อน
( น้องนี้ยังโสดบริสุทธิ์เหมือนดั่งใบตองตัด ตั้งแต่เป็นสาวมายังไม่มีคู่ครอง)
เปรียบ, เปรียบดั่ง : เชื้อชาติแฮ้ง บ่มีเปรียบหงส์คำ
แนวกาดำ เปรียบหงส์คำบ่มีได้
(เชื้อชาติแร้ง กา คงเปรียบเทียบกับหงษ์คำไม่ได้)
พี่นี้ เปรียบดั่งไซ ใส่หลังหล้าบ่หมาน
ถืกกะใส่ๆไว้ บ่ถืกกะใส่ๆไว้
แล้วแต่ใจปลา น้องบู่กูณาผาย ดั่งใด๋เดน้อง
( พี่นี้ เปรียบเทียบดั่งไช่ใส่ไว้หลังสุดท้ายไม่ค่อยได้ปลา ถึงไม่ถูกปลาก็ใส่ไว้ แล้วแต่ใจของปลา น้องไม่กรุณาก็คงไม่ได้)
ทั้งห้าบทที่นำมานี้มีจุดที่น่าสังเกตว่าเป็นคำพูดที่ตัดพ้อต่อว่าบุคคลอื่นที่ตนหลงรักแต่ไม่สมหวังบ้าง หรือเป็นคำอุปมาให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ ว่าตัวผู้พูดมีความในใจว่าอย่างไร นี้ก็เป็นภูมิปัญญาของหนุ่มสาวภาคอีสานในอดีตใช้พูดจากัน เพื่อแสดงถึงการเกี้ยวพาราสีกันและยังแฝงไปด้วยคติพจน์ที่ให้ข้อคิดแก่ผู้อื่นด้วย นี้เป็นความงดงามทางภาษาอีกอย่างหนึ่งเพื่อสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจได้โดยไม่มีความคิดริษยา หรือความโกธรต่อกัน
๔. การใช้สัญลักษณ์ [ Symbol] คือการสรรหาสิ่งต่างๆที่มีความหลายถึงสิ่งอื่นที่มีคุณสมบัติร่วมกัน เกี่ยวข้องกัน เช่น พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธศาสนา ในคำผญาอีสานใช้สัญลักษณ์คือ คำที่ใช้แทนสภาพสิ่งต่างๆ ทั้งรูปธรรม และนามธรรม อันมีความหมายนอกเหนือไปจากความหมายที่กำหนดไว้ในพจนานุกรม ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปของไทยและของสากล เช่น(วิภา กงกะนันทน์ วรรณคดีศึกษา นครปฐม มหาวิทยาลัยศิลปากร 2523, หน้า 158
แสงสว่าง : เป็นสัญลักษณ์ของ ปัญญา
ความมืด : เป็นสัญลักษณ์ของ กิเลส ,ตัณหา ,อวิชชา
แก้ว : เป็นสัญลักษณ์ของ ความดีงาม,สิ่งมีคุณค่ามาก
กา : เป็นสัญลักษณ์ของ คนชั้นต่ำ, คนจน
หงส์ : เป็นสัญลักษณ์ของ คนชั้นสูง, คนมีฐานะ
แมลง : เป็นสัญลักษณ์ของ บุรุษ
ดอกไม้ : เป็นสัญลักษณ์ของ สตรี
การใช้สัญลักษณ์ที่ปรากฏในคำผญา เป็นการแนะให้คิด ไม่กล่าวตรงๆผู้ฟังต้องตีความว่าสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความคิดในเรื่องใด ส่วนใหญ่สิ่งตอบแทนเหล่านี้มักเป็นเรื่องที่รู้จักกันดีในสังคม สัญลักษณ์อื่นๆอีกที่ปรากฏในผญาอีสาน เช่น (จารุวรรณ ธรรมวัตร ลักษณะวรรณกรรมอีสาน กาฬสินธุ์ โรงพิมพ์จิตตภัณฑ์การพิมพ์ 2526 ,หน้า 239
“ผักอีตู่เตี้ยต้นต่ำใบดก กกบ่ทันฝังแน่นสังมาจีจูมดอก
ฮากบ่ทันหยั่งพื้น สังมาปี้นป่งใบ” ผักอีตู่ เป็นสัญลักษณ์ของเด็กหญิงกำลังพ้นวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่นซึ่งในผญาบทนี้กล่าวว่า เด็กสาวปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกับวัยของตน สัญลักษณ์เหล่านี้เป็นคำใช้เปรียบเทียบจากสิ่งแวดที่อยู่ใกล้ตัวที่ชาวบ้านรู้จักดี กวีมักจะนำมากล่าวสอนเตือนให้สตรีรู้ว่าสิ่งใดเหมาะแก่ตนเองและจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเป็นคนมีมารยาทงาม
“ผักหมเหี้ยนกลางทาง เจ้าอย่าฟ้าวเหยียบย่ำ
บาดเทื่อถอดยอดขาวทาวยอดดั้ว ยังสิได้ก่ายกิน” ผักหมเหี้ยน เป็นสัญลักษณ์ของคนที่อยู่ในฐานะต่ำต้อย ได้รับความลำบากแต่ก็มีโอกาสที่จะสร้างฐานะของตนได้ ตรงกับสำนวนภาคกลางว่า ไม้ล้มข้ามได้ แต่คนล้มอย่าข้าม ในคำผญาอีสานที่ปรากฏนั้นยังได้นำเอาสัตว์ต่างๆมาเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบบุคคลในสังคมได้อย่างเหมาสม เช่น ช้าง ใช้แทนคนที่มีอำนาจหรือมียศฐานบันดาศักดิ์สูง หรือหงส์คำ ใช้แทนสตรีผู้มีความงดงามและมีฐานะดี แต่สำหรับ กาดำ ใช้แทนคนชั้นต่ำ หรือเป็ดใช้แทนคนมีวาสนาน้อย หรือพืชบางชนิดก็ถูกนำมาเปรียบเทียบเช่น ดอกว่าน ดอกกระเจียวดังบทผญาว่า
“ อย่าได้เก็บดอกว่าน บ้านเพิ่นมาบาน
ให้เจ้างอยซานเก็บ ดอกกระเจียวกลางบ้าน” ดอกว่าใช้แทนสตรีที่อยู่ต่างบ้าน ส่วนดอกกระเจียวให้แทนหญิงสาวบ้านเดียวกัน พูดเป็นนัยให้หนุ่มรู้จักมองหาสาวๆในบ้านตนเองดีกว่าจะไปผูกสมัครรักใคร่กับหญิงสาวบ้านอื่น
๒.๑.๓ ประเภทของผญาอีสาน
ภาษิตอีสานแต่ละภาษิตมีความหมายลึกบ้าง ตื้นบ้าง หยาบก็มี ละเอียด ก็มี ถ้าท่านได้พบภาษิตที่หยาบๆโปรดได้เข้าใจว่า คนโบราณชอบสอนแบบตาเห็น ภาษิตประจำชาติใด ก็เป็นคำไพเราะเหมาะสมแก่คนชาตินั้น คนในชาตินั้นนิยมชมชอบว่าเป้นของดี ส่วนคนในชาติอื่นหรือถิ่นอื่นอาจเห็นว่าเป็นคำไม่ไพเราะเหมาะสมก็ได้ ความจริง”ภาษิต”คือรูปภาพที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมทางภาษาของชาตินั้นๆหรือของท้องถิ่นต่างๆนั้นเอง
ชาวอีสานมักจะมีสำนวนในการพูดที่เป็นเอกลักษณ์อยู่แบบหนึ่ง เรียกกันทั่วไปว่า “ผะหยา” มีลักษณะที่เด่นอยู่สามประการ คือ ประการแรกเป็นคำพูดหลักแหลมได้สาระแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาของผู้พูด ประการที่สองเป็นคำพูดที่ฟังแล้วได้รับความไพเราะ ด้วยเสียงสัมผัสโดยอาจจะเป็นสัมผัสสระ สัมผัสพยัญชนะหรือเล่นวรรณยุกต์มีคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ และลักษณะเด่นของผะหยาในเชิงวรรณศิลป์อีกอย่างคือ การได้คำอุปมาอุปไมย มีการใช้ความเปรียบเทียบทำให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการเห็นภาพพจน์ และทำให้เข้าใจความหมายของผะหยาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยลักษณะของความเปรียบเทียบที่ยกมาประกอบ นอกจากนี้ผะหยา ยังสามารถสะท้อนภาพความเป็นอยู่ของชาวอีสานได้ด้วย สำหรับโอกาสในการพูดผะหยา นั้นมีหลายโอกาส ได้แก่การพูดคุยทั่วไป อาจใช้ผะหยาภาษิต ผะหยาเกี้ยวจะใช้ในโอกาสที่หนุ่มสาวพบกันในเวลาปั่นฝ้าย หรือในงานประจำหมู่บ้านและใช้ผะหยาอวยพรในงานมงคลสมรสเป็นต้น
การจัดแบ่งประเภทเชิงเนื้อหาของคำผญาอีสานนั้นมี ท่านผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แบ่งเนื้อหาของผญาออกเป็นลักษณะต่างๆ หลายประเภทแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน ตามที่ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้จัดแบ่งประเภทผญาตามลักษณะของเนื้อหาไว้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก
คำผญาที่เป็นคำภาษิตคือเป็นข้อความสั้นๆ แต่เน้นความลึกซึ้ง และเป็นคำสอนไปในตัว หรือให้คติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่แสดงถึงความเป็นไปของโลกหรือชี้ให้เห็นสัจจะแห่งชีวิต ผญาอีสานนั้นเป็นทั้งภูมิปรัชญาท้องถิ่นและปัญญาธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของนักปราชญ์ อันแฝงไปด้วยคติ แง่คิด เป็นคำกล่าวที่เป็นหลักจริยธรรม อันแสดงถึงความรอบรู้ความสามารถของผู้พูด ผญาที่เป็นภาษิต ใช้พูดสั่งสอนหรือเตือนใจใช้ในโอกาสเหมือนภาษิตภาคกลาง เช่น ต้องการสั่งสอนบุตรธิดา ท่านก็เล่านิทานเป็นเชิงอุทาหรณ์แทรกคติธรรม และภาษิตที่เป็นผญาเตือนใจทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งประทับใจและจดจำไว้เป็นแบบอย่างของการครองชีวิตต่อไป
ผญานี้มักไม่กล่าวสอนอย่างตรงๆ ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อมไม่ได้สอนโดยทางตรงเมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม คำผญาเมื่อนำมาจัดแบ่งตามลักษณะของเนื้อหาแล้ว ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แบ่งเนื้อหาของผญาออกเป็นประเภทต่างๆ หลายประเภทแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน คือ
จารุบุตร เรืองสุวรรณ ได้กล่าวถึงคำผญาว่ามี ๒ ประเภท คือผญาย่อย เป็นคำพูดเปรียบเปรย เย้าแหย่ ขำขัน สนุกสนาน แต่ก็แฝงคำคมเป็นคติและอีกประเภทหนึ่งคือ ผญาภาษิต เป้นถ้อยคำแบบฉันทลักษณ์ ที่มีความไพเราะเป็นคติเตือนใจ ลึกซึ่ง แฝงคติธรรม๑๑
สาร สาระทัศนานันท์ ได้กล่าวถึงลักษณ์ทางเนื้อหาของคำผญาว่าเป็นคำกลอนสดที่คิดได้หรือจำมาก็มี และส่วนใหญ่ไม่ได้พรรณาอย่างตรงไปตรงมา คือมักเป็นคำพูดที่เป็นเชิงเปรียบเทียบให้ตีความเอาเอง และได้แบ่งเนื้อหาผญาออกเป็น ๔ ประการ คือ (๑) ภาษิตหรือคติเตือนใจ (๒) คำพังเพยหรือคำคม (๓) คำอวยพร (๔) คำที่หนุ่มสาวใช้พูดจากัน๑๒
บุปผา ทวีสุข กล่าวว่า แต่เดิมนั้นคำผญามักจะเป็นคำภาษิต เป็นคำนักปราชญ์ ต่อมามีผู้คิดผูกคำผญาเป็นทำนองเกี้ยวพาราสีเพื่อหลีกเลี่ยงการพูกฝากรักโดยตรง ให้ผู้ฟังสังเกตเอาจากนัยแห่งคำพูดเอง แล้วพูดโต้ตอบกันด้วยคำในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นคำผญาจึงแบ่งเป็นลักษณะได้ ๒ ประการ คือผญาที่เป็นคำคม สุภาษิต คำสอน และผญาที่เป็นทำนองเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว นอกจากนี้ บุปผา ทวีสุข ยังได้แบ่งผญาออกเป็น ๓ ประเภท คือ ผญาภาษิต ผญาย่อย และโตงโตยหรือยาบสร้อย ๑๓
จารุวรรณ ธรรมวัตร ได้กล่าวถึงลักษณะของผญาไว้ว่า ผญาเป็นคำพูดที่มีองค์คุณอยู่ ๕ ประการ คือ คำพูดที่มีประโยชน์หนึ่ง เป็นคำพูดที่เหมาะสมแก่กาลหนึ่ง พูดคำสัจจะหนึ่ง พูดคำอ่อนหวานหนึ่ง พูดด้วยเมตตาจิตหนึ่ง และยังแบ่งประเภทของผญาได้ ๕ ประการ คือ (๑) ผญาเกี้ยวพาราสี (๒) ผญาภาษิต (๓) ผญาอวยพร (๔) ผญาเกี้ยวแบบตลก (๕) ผญาเกี้ยวแบบสาส์น์รัก๑๔
ประเทือง คล้ายสุบรรณ์ ได้แบ่งประเภทของผญาตามลักษณะของเนื้อหาและโอกาสที่ใช้ไว้อย่างละเอียดและสอดคล้างกันที่พรชัย ศรีสารคาม ได้แบ่งได้ดังนี้(๑) ผญาภาษิต (๒) โตงโตยหรือยาบสร้าย (๓) ผญาย่อยหรือคำคม (๔) ผญาคือหรือผญาเกี้ยว (๕) ผญาอวยพร๑๕ ตามที่ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้จัดแบ่งประเภทผญาตามลักษณะของเนื้อหาไว้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก โดยสรุปแล้วมีเนื้อหาของคำผญาได้เป็น ๔ ประเภท คือ

No comments:

Post a Comment