๓) ผญาเกี้ยว
เป็นคำผญา พูดจากัน เพื่อเป็นสื่อในการติดต่อซึ่งกันและกันนั้นคนอีสานเรียกว่า การจ่ายผญา บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล๒๒ กล่าว่าการจ่ายผญานั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนปัญญาก่อนไม่สามารถพูดจาตอบโต้ได้ก็จะแสดงว่าฝ่ายนั้นมีภูมิปัญญาด้อยกว่าอีกฝ่าย ฉะนั้นการจ่ายผญาจึงเป็นวิธีการทดสอบภูมิปัญญาขอบคนอีกอย่างหนึ่งที่นิยมกันของชาวอีสานในอดีต ด้วยเหตุนี้คนอีสานในสมัยก่อนจึงต้องเรียนรู้ คำผญา ไว้ให้มากที่สุด เท่าที่จะหาได้ โดยเรียนจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือญาติพี่น้องของตนเองบ้าง แล้วจึงไปเรียนรู้จากผู้เฒ่าผู้แก่ ที่มีความรู้ในหมู่บ้านของตน วิธีเรียนนั้นก็ใช้วิธีบอกโดยผู้เรียนต้องจำเอาตามที่ผู้สอนบอก เรียกว่ามุขปาฐะนั้นเองคำผญาที่เรียนในช่วงแรกๆจะเป็นคำผญาที่จำเป็นต้องใช้ในชีวีตประจำวัน เช่นคำผญาเกี่ยวกับการถามข่าว ถึงสาระทุกข์สุขของกันและกัน ใช้ถามถึงพ่อแม่ พี่น้อง หรือถามถึงสถานภาพทางครอบครัวว่ายังโสดหรือว่ามีแฟนแล้ว จึงพัฒนามาเป็นผญาเกี้ยวระหว่างหนุ่มสาว ใช้จ่ายผญาติดต่อกัน
นอกจากนี้ยังมีการจ่ายผญาในประเพณีต่าง คือประเพณี อ่านหนังสือผูก หรือในงานบุญต่างๆที่ชาวบ้านจัดขึ้น เช่น งานงันเฮือนดี (งานศพ) งานงันหม้อกรรม( การฉลองสตรีที่อยู่ไฟหลังคลอด) เป็นต้น ชาวบ้านจะมาร่วมชุมนุมช่วยเหลือกันด้วยน้ำใจไมตรี หรือในเวลาลวงข่วงเข็นฝ้าย ในการตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง และในงานลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นโอกาสที่หนุ่มสาวได้พบกัน วิสุทธิ์ บุษยกุล ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องวรรณกรรมอีสาน ได้เล่าถึงการจ่ายผญาเกี้ยวของหนุ่มสาวชาวอีสานไว้ว่า
…ในงานวัดใหญ่ๆ จะมีหญิงสาวจากหมู่บ้านต่างๆมาเที่ยวงาน หญืงสาวเหล่านี้จะมารวมกันอยู่ที่ปะรำที่ทางวัดจัดไว้โดยแยกเป็นหมู่บ้าน ส่วนพวกชายหนุ่มและไม่หนุ่ม ทั้งหลายที่เดินผ่านไม่ หากเห็นว่าปะรำไหนมีสาวงามเป็นที่ต้องตาต้องใจตน ก็จะแวะเข้าไปนั่งคุยแทะโลมตามแต่จะทำได้ ถ้าหากว่าหญิงนั้นเป็น “จ้าคารม” คือมีคำคมและภาษิตต่างๆ มากพอที่จะนำมาใช้แทนการสนทนาปราศรัยสามัญแล้วฝ่ายชายเองก็จำต้องหาสำนวนและคารมโต้ตอบ ถ้าหากฝ่ายชายเองก็มีความรู้ในทางทัดเทียมกันการเกี้ยวพาราสีของชายหญิงคู่นั้นจะอยู่ในระดับสูง คำพูดทุกประโยคจะมีอุปมาอุปไมยแทรกอยู่เสมอ ผู้ฟังจะต้องคอยตีความหมายอยู่ตลอดเวลา๒๓
สำหรับหนุ่มสาวที่มาร่วมงาน ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ประลองคารมด้วยการจ่ายผญาเครือกัน เป็นการสร้างบรรยากาศของงานให้เป็นที่สนุกสนานครึกครื้น โดยเฉพาะในงานศพนั้น ชาวบ้านจะมาอยู่เป็นเพื่อนบ้านเจ้าภาพในตอนกลางคืน ผู้เฒ่าผู้แก่จะฟังการอ่านหนังสือผูก (เรื่องที่นิยมอ่านส่วนใหญ่จะเป็นนิทานคติธรรม คือชาดกนอกนิบาตเช่นเรื่องการเกด ก่ำกาดำ ศิลป์ไชย นางผมหอม เสียวสวาสดิ์ จำปาสี่ต้น ผาแดงนางไอ่) ส่วนฝ่ายหนุ่มๆก็ได้โอกาสจ่ายผญาต่อสาวที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษ
ลักษณะทางสงคมชนบทอีสานนั้นเป็นสังคมแบบเกษตรกรรม มีระบบการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเอง ดังนั้นจึงหน้าอันสำคัญของชายหญิงคือการทำกสิกรรมและหัตถกรรมต่างๆประเพณีการจ่ายผญาเกี้ยวของหนุ่มสาวชาวอีสานจึงสัมพันธ์กับวิถีชีวิต ช่วงเวลาที่หนุ่มสาวจะได้พบกันมาก หลังจากเก็บเกี้ยวข้าวเสร็จคือในช่วงของฤดูหนาวและฤดูร้อน ในช่วงนี้เองที่เป็นโอกาสอันเหมาะสำหรับชายหนุ่มจะได้ไปเยือนฝ่ายหญิงในตอนกลางคืน จึงมีประเพณีการไปเกี้ยวสาวลงข่วงเข็นฝ่าย ดังตัวอย่าง
สาว บ่เป็นหยังดอกอ้ายเห็นชายมาก็อบอุ่น ย่านแต่เพิ่นพุ่นบ่มาผ่ายกลายทาง
อ้ายมาหยังมื้อนี้มีลมอันใดพัด ซ่วยขจัดความในใจน้องแน่นา…อ้ายเอย
(ไม่เป็นไรหรอกพี่ เมื่อเห็นพี่มาก็อบอุ่น น้องยิ่งหวั่นว่าพี่จะเดินผ่านไปบ้านอื่น พี่มีธุระอะไรหรือ ลมอะไรพัดมาจึงมาถึงบ้านน้อง ช่วยตอบให้หายข้องใจด้วยเถิด)
หนุ่ม โอนอหล้าเอ้ย การที่มามื้อนี้ความกกว่าอยากได้ฝ้าย
ความปลายว่าอยากได้ลูกสาวเพิ่น
อันเจ้าผู้ขันหมาแก้วลายเครือดอกผักแว่น
สิไปตั้งแล่นแค่นอยู่ตีนส่วมผู้ใดนอ
(น้องเอยธุระที่มาในวันนี้ ตอนแรกว่าจะมาดูฝ้ายแต่จุดหมายที่แท้จริงคือจะมาดูลูกสาวท่าน น้องผู้เปรียบเสมือนขันหมากลายเถาผักแว่น จะได้ไปประดับในห้องนอนของใครหนอ)
จากคำกล่าวทั้งสองบทนี้ทำให้รู้ว่าการสนทนากันต่างฝ่ายก็ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นคำกล่าวที่เปรียบเทียบถึงความในใจของทั้งสองฝ่าย เมื่อจ่ายผญากันไปเลื่อยๆต่างฝ่ายก็มักจะลงด้วยการพูดมาทั้งหมดนั้นก็ให้เป็นคำพูดจริงไม่หลอกล่วงกัน ดังตัวอย่างว่า
สาว คันบ่จริงน้องบ่เว้า คันบ่เอาน้องบ่ว่า
สัจจาน้องว่าแล้ว สิม้ายม้างแม่นบ่เป็น..เด้อ้าย
(หากไม่จริงใจน้องคงไม่พูด สัจจะของหญิงจะผันแปรไม่ได้หรอก)
หนุ่ม สัจจาผู้หญิงนี้บ่มีจริงจักเทื่อ ชาติดอกเดื่อมันบ่บานอยู่ต้นตนอ้ายบ่เซื่อคน..ดอกนา.๒๔ ( น้ำคำของหญิงไม่เคยพูดจริงสักครั้ง เหมือนดอกมะเดื่อหากไมบานอยู่บนต้น คนย่อมไม่ประจักษ์ถึงความจริง)
ผญาที่สะท้อนให้เห็นภาพของวิถีชีวิตของสังคมชนบทอีสานในอดีตได้เป็นอย่างดี ภาษาที่ถูกถ่ายทอดผ่านมาทางบทกวีนั้นย่อมก่อให้เกิดความบันเทิงใจหรือความสุขใจแก่ผู้ได้ฟังเสมอ ผญาเกี้ยวก็เป็นส่วนหนึ่งในวรรณกรรมอีสานที่บรรพบุรุษได้พยายามถ่ายทอดมาสู่อนุชนรุ่นหลัง แต่ปัจจุบันนี้ได้ลดบทบาทลงไปมาก คนหนุ่มสาวสมัยใหม่ไม่รู้จักคำผญาเกี้ยวเหล่านี้เลยก็มี จะเป็นเพราะวัฒนธรรมต่างถิ่นต่างภาษาเข้ามาแทนวัฒนธรรมเก่าๆ ก็ลดความจำเป็นไป หนุ่มสาวชอบความบันเทิงอย่างอื่นไป
หญิงสาวในอดีตจักรู้จักรักนวลสงวนตัว การแต่งการก็จะระมัดระวัง การจะออกนอกบ้านแต่ละครั้งก็ต้องขออนุญาติ พ่อแม่ หรือไปที่ไหนก็ต้องมีเพื่อนไปด้วย การให้สิทธิและเสรีภาพแก่สตรีในการเลือกคู่ครองของตน ญาติผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวข้องด้วยมีเพียงคอยระวังมิให้ลูกสาวของตนเองเพลี่ยงพล้ำในการเลือก คือคอยสดับรับฟังว่าลูกสาวของตนติดพันอยู่กับใคร และคอยสืบความเป็นอยู่ของผู้นั้น ว่าดีหรือไม่ดี ถ้าเป็นคนดีก็ส่งเสริมให้ลูกของตนผูกไมตรีไว้ให้แน่นแฟ้น ถ้าเป็นคนไม่ดีก็ให้สลัดตัดรอนเสียแต่ต้นลม การเลือกคู่ครองนั้นโบราณอีสานมักจะสอนว่าให้เลือกคนขยัน มีปัญญา และเป็นชายหนุ่มที่ใจกว้างนับถือวงศาคณาญาติดังมีผญาสอนหญิงว่า
เพิ่งเอาผัวให้หาแนวปราชญ์นั้นเนอ ใจฉลาดฮู้คลองแท้สั่งสอน
หญิงใดได้ผัวนามปราชญ์ เป็นที่กล่าวเว้ายอย่องทั่วแดน๒๕
(จะมีสามีให้หาท่านผู้รู้ มีปัญญาฉลาดรู้จารีตประเพณีโบราณ หญิงคนใดได้สามีอย่างนี้ เป็นที่นิยมทั่วไป ) ผู้ชายที่รู้จักปรัชญาในการครองเรือน หรือได้ผ่านการบวชเรียนเขียนอ่านมาแล้วจะเป็นที่หมายป้องของสตรีในอดีตมาก เพราะเป็นคนที่มีความอดทน รู้หลักของนักปราชญ์ ทั้งในคดีโลกและคดีธรรม ภูมิปรัชญาท้องถิ่นอีสานนั้นมักไม่นิยมเลือกคู่ชีวิตโดยมุ่งหาแต่สาวที่สวยงาม แต่กลับพบว่ามักจะสอนให้เลือกเอาคนที่มีความดี รู้การบ้านการเรือน รู้ธรรมเนียมของหญิง ไม่เป็นเกียจคร้าน ดังผญาคำสอนว่า
อันหนึ่งครั้นจักเอาหญิงให้เป็นนางใภ้ฮ่วมเฮือน
หญิงใดฮู้ฉลาดตั้งต่อการสร้างก็จึงเอานั้นเนอ
อันหนึ่งรู้ฮีตเฒ่าสอนสั่งตามคลอง
การเฮือนนางแต่งแปลงบ่มีคร้าน
หญิงนี้ควรเอาแท้เป็นนางใภ้ฮ่วมเฮือน๒๖
ผญาเกี้ยวที่นำมาเสนอในที่นี้เพื่อการศึกษาถึงคนในสังคมอดีต จึงมิใช่เป็นการเรียกร้องหรือเหนี่ยวรั้งภาพสะท้อนถึงวิถีชิวิตในอดีตให้หวนกลับคืนมาได้อีก เพราะนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อยาก แต่เป็นการศึกษาเพื่อให้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมภาษาที่สะภาพถึงวิถีทางสังคมในปัจจุบัน นั้นคือรากฐานดั่งเดิมทางวัฒนธรรมประเพณีตลอดถึงวิสัยทัศน์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น นั้นคือความเป็นเราอย่างแท้จริง
คำผญาเกี้ยว นี้เป็นคำที่หนุ่มสาวใช้พูดจากัน เพื่อให้เกิดความรักใคร่ซึ่งกันและกัน มักจะกล่าวเป็นคำกลอนคล้องจองกันเป็นคำเปรียบเทียบ นิยมพูดถึงรูปร่างลักษณะ ฐานะ ยศศักดิ์ ของบุคคลนั้น
Thursday, 4 August 2011
ຜຍາອວຍພອນ
๒) ผญาอวยพร
การอวยพรมักจะใช้ในโอกาสต่างๆ ส่วนมากเป็นคำพูดของคนสูงอายุ ผู้อาวุโสหรือคนรักใคร่นับถือกันและเจตนาดีต่อกัน พูดเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้ฟัง หรือผู้รับพร เพื่อให้กำลังใจ และหวังให้ผู้ฟังได้รับความชื่นใจ ความสบายใจอาจใช้ในพิธีต่างๆเช่นในการสู่ขวัญ ผูกข้อต่อแขน หรือในโอกาสอื่นๆแล้วแต่ความเหมาะสม ผญาอวยพรเป็นบ่อเกิดสำคัญทางสุนทรียภาพอันเป็นอาหารทางจิตใจ ผญาอวยพรนี้ยังสะท้อนถึงความเชื้อของคนในท้องถิ่นภาคอีสานได้เป็นอย่างดี
ผญาอวยพรคือการกล่าวสิ่งที่ดีและเป็นมงคลต่อกันและ มนุษย์ย่อมปรารถนาอยากจะได้แต่สิ่งที่ดี คือ คำมั่งคั่ง ความสวยงาม สุขภาพแข็งแรง หรือยศถาบันดาศักดิ์ต่างๆ นัยตรงกันข้ามย่อมไม่ปรารถนา ความจน ความขี้เหร่ ความเจ็บป่วย หรือ คำนินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ผญาอวยพรนี้มักจะกล่าวเมื่อมีงานสำคัญๆ เช่น การได้เลื่อนยศ งานแต่งงาน หรืองานบวชเป็นต้น ดังผญาอวยพรงานบวช ว่า
ฝ้ายเส้นนี้แม่นฝ้ายมุงคล พระจอมบุญพุทธเจ้า
เอามาให้ผูกแขนหลาน ให้เจ้าบวชนานๆเป็นเถระเจ้า
ให้เจ้าเป็นพระผู้เฒ่าผู้ทรงคุณ คนมาหนุนทุกค่ำเช้า
ให้เจ้าได้สอนลูกเต้าพอแสนคน ทศพลอันผ่านแล้ว
คือพระไตรปิกฎแก้วให้เลือนไหล นำสัตว์ไปข้ามโลก
ให้ข้ามพ้นโอฆะสงสาร ให้ไปถึงนิรพานทุกคน
ทุกคน ก็ข้าเทอญ ชะยะสิทธิ ภะวันตุเตฯ๒๐
คำผญาอวยพรนี้ชี้บอกให้ผู้จะบวชรู้จุดหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาคือปริยัติทั้งสามประการคือเมื่อบวชมาแล้วจะต้องศึกษาพระธรรมให้จบพระไตรปิกฎคือปริยัติธรรมให้รู้อย่างชัดแจ้ง แล้วนำไปสู่ปฏิบัติธรรม เพื่อมุ่งสู่ปฏิเวธ นั้นคือพระนิพพาน
นักปรัชญามักจะนิยมสอดแทรกปรัชญาในการดำเนินชีวิตในการครองครองเรือนของคู่สามีภรรยาที่ควรประพฤติปฏิบัติตนเอง เพื่อความเจริญก้าวหน้าของครอบครัว คือสอนให้ภรรยารู้จักหน้าของตน ให้มีความซื่อสัตย์ต่อสามี เคารพผู้เป็นสามี อย่าเป็นคนเกียจคร้าน และรู้จักประหยัดทรัพย์สมบัติที่สามีหามาได้ ดังคำผญาอวยพรว่า
ฝ้ายอันนี้แม่นฝ้ายอินทร์แปลง เพิ่นแบ่งมาแต่ภูเขากาด
เอามาพาดแขนเจ้าทั้งสอง สมบัตินองไหลมาบ่ขาด
อย่าประมาทชายที่เป็นผัว ให้เกร่งกลัวคือพ่อคือแม่
อย่าข้องแหว่ชายอื่นบ่ดี หน้าที่มีให้เจ้าตกแต่ง
ให้เจ้าแต่งภาชน์แลงภาชน์งาย อย่าเบิ่งดายนิสัยขี้คร้าน
ให้ชาวบ้านติฉินนินทา สมบัติมาหนีไปเหมิดจ้อย๒๑
คำผญาอวยพรนี้ เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วก็คือ เป็นคำพูดของคนเฒ่าคนแก่ ผู้อาวุโสหรือคนที่รักใคร่นับถือและเจตนาดีต่อกัน พูดเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้ฟัง หรือผู้รับพร เพื่อให้กำลังใจและหวังให้ผู้ฟังได้รับความชื่นใจ ความสบายใจ และประสบความสุขความเจริญ ตลอดจนให้ปราศจากภยันตรายทั้งปวง เช่น เจ้าอยู่ให้มีชัย เจ้าไปให้มีโชค สรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย สรรพเสนียดจังไฮ ให้ระงับกลับหายไปสามื้อนี้วันนี้ เทอญ นี้คือจุดหมายของคำผญาอวยพร
การอวยพรมักจะใช้ในโอกาสต่างๆ ส่วนมากเป็นคำพูดของคนสูงอายุ ผู้อาวุโสหรือคนรักใคร่นับถือกันและเจตนาดีต่อกัน พูดเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้ฟัง หรือผู้รับพร เพื่อให้กำลังใจ และหวังให้ผู้ฟังได้รับความชื่นใจ ความสบายใจอาจใช้ในพิธีต่างๆเช่นในการสู่ขวัญ ผูกข้อต่อแขน หรือในโอกาสอื่นๆแล้วแต่ความเหมาะสม ผญาอวยพรเป็นบ่อเกิดสำคัญทางสุนทรียภาพอันเป็นอาหารทางจิตใจ ผญาอวยพรนี้ยังสะท้อนถึงความเชื้อของคนในท้องถิ่นภาคอีสานได้เป็นอย่างดี
ผญาอวยพรคือการกล่าวสิ่งที่ดีและเป็นมงคลต่อกันและ มนุษย์ย่อมปรารถนาอยากจะได้แต่สิ่งที่ดี คือ คำมั่งคั่ง ความสวยงาม สุขภาพแข็งแรง หรือยศถาบันดาศักดิ์ต่างๆ นัยตรงกันข้ามย่อมไม่ปรารถนา ความจน ความขี้เหร่ ความเจ็บป่วย หรือ คำนินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ผญาอวยพรนี้มักจะกล่าวเมื่อมีงานสำคัญๆ เช่น การได้เลื่อนยศ งานแต่งงาน หรืองานบวชเป็นต้น ดังผญาอวยพรงานบวช ว่า
ฝ้ายเส้นนี้แม่นฝ้ายมุงคล พระจอมบุญพุทธเจ้า
เอามาให้ผูกแขนหลาน ให้เจ้าบวชนานๆเป็นเถระเจ้า
ให้เจ้าเป็นพระผู้เฒ่าผู้ทรงคุณ คนมาหนุนทุกค่ำเช้า
ให้เจ้าได้สอนลูกเต้าพอแสนคน ทศพลอันผ่านแล้ว
คือพระไตรปิกฎแก้วให้เลือนไหล นำสัตว์ไปข้ามโลก
ให้ข้ามพ้นโอฆะสงสาร ให้ไปถึงนิรพานทุกคน
ทุกคน ก็ข้าเทอญ ชะยะสิทธิ ภะวันตุเตฯ๒๐
คำผญาอวยพรนี้ชี้บอกให้ผู้จะบวชรู้จุดหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาคือปริยัติทั้งสามประการคือเมื่อบวชมาแล้วจะต้องศึกษาพระธรรมให้จบพระไตรปิกฎคือปริยัติธรรมให้รู้อย่างชัดแจ้ง แล้วนำไปสู่ปฏิบัติธรรม เพื่อมุ่งสู่ปฏิเวธ นั้นคือพระนิพพาน
นักปรัชญามักจะนิยมสอดแทรกปรัชญาในการดำเนินชีวิตในการครองครองเรือนของคู่สามีภรรยาที่ควรประพฤติปฏิบัติตนเอง เพื่อความเจริญก้าวหน้าของครอบครัว คือสอนให้ภรรยารู้จักหน้าของตน ให้มีความซื่อสัตย์ต่อสามี เคารพผู้เป็นสามี อย่าเป็นคนเกียจคร้าน และรู้จักประหยัดทรัพย์สมบัติที่สามีหามาได้ ดังคำผญาอวยพรว่า
ฝ้ายอันนี้แม่นฝ้ายอินทร์แปลง เพิ่นแบ่งมาแต่ภูเขากาด
เอามาพาดแขนเจ้าทั้งสอง สมบัตินองไหลมาบ่ขาด
อย่าประมาทชายที่เป็นผัว ให้เกร่งกลัวคือพ่อคือแม่
อย่าข้องแหว่ชายอื่นบ่ดี หน้าที่มีให้เจ้าตกแต่ง
ให้เจ้าแต่งภาชน์แลงภาชน์งาย อย่าเบิ่งดายนิสัยขี้คร้าน
ให้ชาวบ้านติฉินนินทา สมบัติมาหนีไปเหมิดจ้อย๒๑
คำผญาอวยพรนี้ เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วก็คือ เป็นคำพูดของคนเฒ่าคนแก่ ผู้อาวุโสหรือคนที่รักใคร่นับถือและเจตนาดีต่อกัน พูดเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้ฟัง หรือผู้รับพร เพื่อให้กำลังใจและหวังให้ผู้ฟังได้รับความชื่นใจ ความสบายใจ และประสบความสุขความเจริญ ตลอดจนให้ปราศจากภยันตรายทั้งปวง เช่น เจ้าอยู่ให้มีชัย เจ้าไปให้มีโชค สรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย สรรพเสนียดจังไฮ ให้ระงับกลับหายไปสามื้อนี้วันนี้ เทอญ นี้คือจุดหมายของคำผญาอวยพร
ຜຍາພັງເພີຍ
๑) ผญาพังเพย
คำผญาพังเพยนี้มักจะกล่าวสอนขึ้นมาลอยๆเป็นคำกลางๆเพื่อให้ตีความเข้ากับเรื่อง คำพังเพยคล้ายสุภาษิต มีลักษณะเกือบเป็นสุภาษิต เป็นคำที่มีลักษณะติชม หรือแสดงความคิดเห็นอยู่ในตัว เช่น ทำนาบนหลังคน คำพังเพยไม่เป็นสุภาษิตเพราะไม่เป็นคำสอนแน่นอน และไม่ได้เน้นคำสอนในตัวเอง เป็นลักษณะคำเปรียบเทียบ
ลักษณะของคำพังเพยอีสานนี้เรียกอีกอย่างว่า คำโตงโตยหรือยาบสร้อย บางท้องถิ่นนิยมเรียกว่า ตวบต้วยหรือยาบเว้า เป็นข้อความในเชิงอุปมาอุปไมยที่ไพเราะสละสลวยและมีความหมายลึกซึ่งคมคายเช่นเดียวกับผญาภาษิต บางคำมีความหมายลึกซึ้งเข้าใจยากกว่าผญาภาษิตมาก มีนัยต่างกันบ้างกับผญาภาษิตตรงที่คำพังเพยหรือยาบสร้อยนี้ไม่เป็นคำสอนเหมือนผญาภาษิต เป็นเพียงคำเปรียบเทียบที่ให้ข้อเตือนใจหรือเตือนสติให้คนเรานึกถึงทางดีหรือทางชั่ว ผญาพังเพยจัดเป็นความเปรียบเทียบ กล่าวคือแสดงทรรศนะบ้างอย่างเพื่อแสดงให้เห็นภาพพจน์ชัดเจน ดังคำพังเพยว่า “ เห็นว่าเวียงจันทร์เศร้า สาวเอยอย่าฟ้าวว่า มันสิโป้บาดหลา คือแตงช้างหน่วยปลาย” ๑๖ จากข้อความนี้เปรียบเทียบให้เห็นถึงเมืองเวียงจันทร์ที่ยังไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนกรุงเทพฯ มักจะนำเปรียบเทียบกับกรุงเทพฯ ที่เจริญกว่า แต่ก็อย่าประมาทว่าเวียงจันทร์จะไม่เจริญ ในคำพังเพยนี้บอกเป็นนัยว่า เมืองเวียงจันทร์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นในอนาคต และนัยตรงกันข้ามก็มีคำพังเพยที่กล่าวถึงความเสื่อมของกรุงเทพฯเอาไว้ว่า “ เวียงจันทร์ฮ้าง สิเป็นโพนขี้หมาจอก บาดห่าบางกอกฮ้าง สิเป็นหม่องกระต่ายนอน”๑๗
นักปรัชญาอีสานมักจะสรรหาคำที่เปรียบเทียบถึงลักษณะของคนไว้อย่างน่าสนใจว่า การดูคนนั้นจะต้องพิจารณาให้เห็นถึงต้นตระกูลของบุคคลนั้นว่ามีนิสัยอย่างไร ก็มักจะแสดงออกมาตามต้นกำเนิดคือพ่อแม่ ดังมีคำพังเพยว่า “เซื้อหมากต้อง บ่ห่อนหล่นไกกก แนวผมดก บ่ห่อนหัวเป็นล้าน๑๘ ( ลูกกระท้อนไม่หล่นไกลต้น คนที่มีเชื่อแถวเป็นคนผมดกหัวคงไม่ล้าน) มีนัยถึงคนที่ดีหรือชั่วนั้นอาจดูได้จากพ่อแม่ของคนนั้น ถ้าพ่อแม่ดีลูกก็จะถูกฝึกอบรมให้เป็นคนดีได้ด้วย
คำว่าโลกธรรม คือมีมาประจำกับโลกมนุษย์ สิ่งนั้นคือ สรรเสริญ นินทา ปราชญ์อีสานได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ดังคำพังเพยว่า “ ซื่อว่าการยกย่อง นินทาประจำโลก มีแต่ปู๋แต่ปู้ หนีได้ฮ่อมได๋” ๑๙ (อันการยกย่องสรรเสริญและการนินทานั้นเป็นของประจำโลก มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่มีใครจะหลีหนีพ้นได้) จากคำพังเพยบทนี้ชี้ให้เห็นว่า สิ่งนี้เป็นโลกธรรม อย่างแท้จริง ไม่มีใครจะหลีหนีพ้นจากคำกล่าวเหล่านี้ นักปราชญ์อีสานมักจะสอนให้รู้และสามารถทำใจได้หรือปล่อยว่างได้ คนจะมีความสุขสงบได้
ผญาคำพังเพย คือคำผญาที่พูดเป็นประโยคสั้นๆ เพื่อเป็นคติเล็กๆ น้อยๆ เป็นคำพูดคมคายชวยให้คิด เป็นคำปัญหาหรือตลก เป็นคำไพเราะเพราะพริ้ง น่าฟัง หรือชวยให้เพลิดเพลิน มักเป็นคำกล่าวสั้นๆ เพียงประโยคเดียวหรือสองประโยค และส่วนมากไม่เกินสี่วรรคหรือสี่ประโยค เช่น ขายของให้พี่น้อง ขายฆ้องให้เจ้าหัว
คำผญาพังเพยนี้มักจะกล่าวสอนขึ้นมาลอยๆเป็นคำกลางๆเพื่อให้ตีความเข้ากับเรื่อง คำพังเพยคล้ายสุภาษิต มีลักษณะเกือบเป็นสุภาษิต เป็นคำที่มีลักษณะติชม หรือแสดงความคิดเห็นอยู่ในตัว เช่น ทำนาบนหลังคน คำพังเพยไม่เป็นสุภาษิตเพราะไม่เป็นคำสอนแน่นอน และไม่ได้เน้นคำสอนในตัวเอง เป็นลักษณะคำเปรียบเทียบ
ลักษณะของคำพังเพยอีสานนี้เรียกอีกอย่างว่า คำโตงโตยหรือยาบสร้อย บางท้องถิ่นนิยมเรียกว่า ตวบต้วยหรือยาบเว้า เป็นข้อความในเชิงอุปมาอุปไมยที่ไพเราะสละสลวยและมีความหมายลึกซึ่งคมคายเช่นเดียวกับผญาภาษิต บางคำมีความหมายลึกซึ้งเข้าใจยากกว่าผญาภาษิตมาก มีนัยต่างกันบ้างกับผญาภาษิตตรงที่คำพังเพยหรือยาบสร้อยนี้ไม่เป็นคำสอนเหมือนผญาภาษิต เป็นเพียงคำเปรียบเทียบที่ให้ข้อเตือนใจหรือเตือนสติให้คนเรานึกถึงทางดีหรือทางชั่ว ผญาพังเพยจัดเป็นความเปรียบเทียบ กล่าวคือแสดงทรรศนะบ้างอย่างเพื่อแสดงให้เห็นภาพพจน์ชัดเจน ดังคำพังเพยว่า “ เห็นว่าเวียงจันทร์เศร้า สาวเอยอย่าฟ้าวว่า มันสิโป้บาดหลา คือแตงช้างหน่วยปลาย” ๑๖ จากข้อความนี้เปรียบเทียบให้เห็นถึงเมืองเวียงจันทร์ที่ยังไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนกรุงเทพฯ มักจะนำเปรียบเทียบกับกรุงเทพฯ ที่เจริญกว่า แต่ก็อย่าประมาทว่าเวียงจันทร์จะไม่เจริญ ในคำพังเพยนี้บอกเป็นนัยว่า เมืองเวียงจันทร์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นในอนาคต และนัยตรงกันข้ามก็มีคำพังเพยที่กล่าวถึงความเสื่อมของกรุงเทพฯเอาไว้ว่า “ เวียงจันทร์ฮ้าง สิเป็นโพนขี้หมาจอก บาดห่าบางกอกฮ้าง สิเป็นหม่องกระต่ายนอน”๑๗
นักปรัชญาอีสานมักจะสรรหาคำที่เปรียบเทียบถึงลักษณะของคนไว้อย่างน่าสนใจว่า การดูคนนั้นจะต้องพิจารณาให้เห็นถึงต้นตระกูลของบุคคลนั้นว่ามีนิสัยอย่างไร ก็มักจะแสดงออกมาตามต้นกำเนิดคือพ่อแม่ ดังมีคำพังเพยว่า “เซื้อหมากต้อง บ่ห่อนหล่นไกกก แนวผมดก บ่ห่อนหัวเป็นล้าน๑๘ ( ลูกกระท้อนไม่หล่นไกลต้น คนที่มีเชื่อแถวเป็นคนผมดกหัวคงไม่ล้าน) มีนัยถึงคนที่ดีหรือชั่วนั้นอาจดูได้จากพ่อแม่ของคนนั้น ถ้าพ่อแม่ดีลูกก็จะถูกฝึกอบรมให้เป็นคนดีได้ด้วย
คำว่าโลกธรรม คือมีมาประจำกับโลกมนุษย์ สิ่งนั้นคือ สรรเสริญ นินทา ปราชญ์อีสานได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ดังคำพังเพยว่า “ ซื่อว่าการยกย่อง นินทาประจำโลก มีแต่ปู๋แต่ปู้ หนีได้ฮ่อมได๋” ๑๙ (อันการยกย่องสรรเสริญและการนินทานั้นเป็นของประจำโลก มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่มีใครจะหลีหนีพ้นได้) จากคำพังเพยบทนี้ชี้ให้เห็นว่า สิ่งนี้เป็นโลกธรรม อย่างแท้จริง ไม่มีใครจะหลีหนีพ้นจากคำกล่าวเหล่านี้ นักปราชญ์อีสานมักจะสอนให้รู้และสามารถทำใจได้หรือปล่อยว่างได้ คนจะมีความสุขสงบได้
ผญาคำพังเพย คือคำผญาที่พูดเป็นประโยคสั้นๆ เพื่อเป็นคติเล็กๆ น้อยๆ เป็นคำพูดคมคายชวยให้คิด เป็นคำปัญหาหรือตลก เป็นคำไพเราะเพราะพริ้ง น่าฟัง หรือชวยให้เพลิดเพลิน มักเป็นคำกล่าวสั้นๆ เพียงประโยคเดียวหรือสองประโยค และส่วนมากไม่เกินสี่วรรคหรือสี่ประโยค เช่น ขายของให้พี่น้อง ขายฆ้องให้เจ้าหัว
ລັກສະນະຜຍາ
๒.๑.๒ ลักษณะของคำผญาอีสาน
รูปและและลักษณะของคำผญามองในด้านภาษาศาสตร์จะพบว่า ผญามีรากศัพท์มาจาก “ปัญญา”ในภาษาบาลี ในภาษาสันสกฤตใช้ว่า “ปรัชญา” แต่เมื่อพูดในภาษาท้องถิ่นจะเพี้ยนมาเป็นคำ “ปร” เป็น “ผ”ซึ่งมีหลายคำเช่น เปรต ชาวอีสานออกเสียงเป็น เผด โปรดออกเสียงเป็นโผด ดังนั้นคำผญาภาษิตอีสานจึงเป็นกลุ่มคำที่มีลักษณะดังนี้คือ
๑) มีลักษณะคล้องจ้องกันในด้านสัมผัส ฟังแล้วรื่นหูมีทั้งที่เป็นกาพย์ หรือกลอน
๒)มีความหมายที่ลึกซึ่งผู้ฟังหรือผู้อ่านต้องใช้ปัญญาหยั่งรู้จึงจะเข้าใจในความหมายที่แฝงเร้นอยู่ในข้อความหรือกลุ่มคำนั้นๆ
๓) เป็นหมู่คำที่แสดงออกในเชิงการมีไหวพริบปฏิภาณของผู้พูด
๔) เป็นหมู่คำที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตและใช้เป็นปรัชญาในการดำเนิดชีวิตได้
ลักษณะของคำประพันธ์อีสานนั้นมี ๔ ประการ๙ ซึ่งแต่ละลักษณะจะแตกต่างกันไม่เด่นชัดนัก ได้แก่ กาบ (กาพย์) โคง(โคลง) ฮ่าย (ร่าย) และกอน(กลอน) บทร้อยกรองที่เป็นที่นิยมของชาวอีสานนั้นมีอยู่ ๓ ชนิด๑๐ คือ
๑) ชนิดที่ไม่มีสัมผัส แต่อาศัยจังหวะของเสียงสูงต่ำของวรรณยุกต์และจังหวะของคำเป็นเกณฑ์ คำผญาเหล่านี้ก็คือโคลงดั้น หรือกลอนอ่านวิชชุมาลีนั่นเอง ดังตัวอย่างนี้คือ
(ครันเจ้า) ได้ขี่ช้าง กั้งฮ่มเป็นพญา
(อย่าสู้) ลืมความหลัง ขี่ควายคอนกล้า ๒ บาทแรก
ไม้ล้อมรั้ว ลำเดียวบ่ข่วย
ไพร่บ่พร้อม แปลงบ้านบ่เฮือง ๒ บาทหลัง
บทผญาของภาคอีสานมีลักษณะที่ตัดมาจากโคลงดั้นวิชชุมาลี โดยตัดมาเพียงบาทเดียวหรือ ๒ บาท และ ๓ บาท ก็ได้ ที่นิยมก็คือมักตัดมาใช้ ๒ บาทหลังของโคลงคือบาทที่ ๓ และ ๔ เป็นส่วนมาก ลักษณะอย่างนี้ทำให้สามารถที่จะเพิ่มคำแทรกลงภายหลังในวรรคได้ซึ่งมักเป็นคำเดี่ยวมีเสียงเบาและสามารถมีคำสร้อยอยู่ท้ายวรรคได้อีก ๒ คำ ดังนั้นบทผญาก็ดี หรือรูปแบบของโคลงในวรรคกรรมลายลักษณ์ก็ดี ในยุคแรกนั้นไม่มีสัมผัสเลย แต่มาในยุคหลังก็ได้พัฒนามามีสัมผัสมากขึ้น โดยได้รับอิทธิพลมาจากร่ายและโคลงนั้นเอง
๒) ชนิดที่มีสัมผัสแบบร่าย คือใช้สัมผัสระหว่างวรรคต่อเนื่องรับกันไปเหมือนลักษณะของร่ายเกิดเป็นโคลงดั้นที่มีสัมผัสอย่างร่าย ดังตัวอย่างนี้
“ ครันเจ้า คึดฮอดอ้าย ให้เหลียวเบิ่งเดือนดาว
สายตาเฮา จวบกันเทิงฟ้า
จะเห็นว่ามีสัมผัสรับกันแห่งเดียวคือตรงคำว่า “ดาว” กับ “เฮา” ลักษณะการรับสัมผัสแบบร่ายนี้ได้พัฒนามามีสัมผัสมากขึ้นในยุคหลัง ซึ่งจะเห็นได้จากลักษณะของกลอนลำต่างๆ
๓) ชนิดที่มีสัมผัสแบบโคลง โคลงดั้นวิชชุมาลีของอีสานแบบเก่าไม่มีสัมผัส ต่อมาก็ได้พัฒนาโดยวางสัมผัสแบบโคลงอย่างของภาคกลาง มีทั้งลักษณะสัมผัสแบบโคลงดั้นบาทกุญชรและโคลงดั้นวิวิธมาลี และมีทั้งลักษณะสัมผัสแบบโคลงสุภาพ ซึ่งในตำราล้านช้างเรียกว่า “มหาสินธุมาลี” ไม่ค่อยได้รับนิยมเท่าไหร่ บทร้อยกรองในภาคอีสานได้พัฒนามาจากรูปแบบที่ยึดถือเรื่องจังหวะคำและระดับเสียงสูงต่ำเป็นเกณฑ์ โดยไม่มีสัมผัสเลยไปสู่รูปแบบที่มีสัมผัสเพิ่มมากขึ้นในยุคหลัง ด้วยเหตุนี้ โคลงห้า ผญา โคลงดั้นวิชชุมาลี (หมายรวมถึง โคลงสาร, กลอนอ่านวิชชุมาลี, กลอนอักษรสังวาส,กลอนเทศน์) และกลอนลำของอีสานจึงล้วนมีพัฒนาการร่วมเส้นทางเดียวกันมา ในขณะที่พัฒนาการอีกเส้นทางหนึ่งคือ คำประพันธ์ของอีสานที่เรียกว่า กาพย์และฮ่าย(ร่าย) ซึ่งมุ่งเรื่องสัมผัสเป็นเกณฑ์ ก็ได้มามีอิทธิพลผสมผสานกันนี้คือพื้นฐานของบทร้อยกรองที่ปรากฏในผญาของภาคอีสาน ลักษณะทั่วไปของผญาอีสานยังแบ่งออกได้อีก ๒ ประการคือ
๑) จัดแบ่งตามแบบฉันท์ลักษณ์ของบทผญา
๒) จัดแบ่งตามลักษณะเนื้อหาของบทผญา
๒.๓.๓ จัดแบ่งตามรูปแบบทางฉันทลักษณ์ของผญา ยังแบ่งย่อยออกมาได้อีก ๒ ประการคือ
๑) บทผญาที่มีสัมผัส การใช้ถ้อยคำให้เกิดความคล้องจองกันเป็นลักษณะประจำที่มีสอดแทรกในชีวิตประจำวันของชาวอีสาน หรือ ถือเป็นความนิยมในการพูด คำผญาประเภทนี้มักมีอยู่ในรูปของร้อยกรอง มีสัมผัสระหว่างวรรคติดต่อกันโดยตลอด และมีสัมผัสภายในวรรค สัมผัสในบทผญาอีสานยังแบ่งออกเป็นสัมผัสสระและสัมผัสอักษรดังนี้คือ
๒) สัมผัสสระ คือคำที่ผสมด้วยเสียงสระเดียวกันและเสียงตัวสะกดเดียวกัน การสังสัมผัสจะส่งระหว่างวรรคต่อเนื่องกันในผญาบางบทจะส่งสัมผัสภายในวรรคก็มี เช่น “มีเฮือนบ่มีฝา มีนาบ่มีฮ่อง มีปล่องบ่มีฝาอัด
มีวัดบ่มีพระสงฆ์ มีถ่งบ่มีบ่อนห้อย ของแนวนี้กะบ่ดี
( มีบ้านไม่ฝา มีนาไม่มีร่องน้ำ มีปล่องไม่มีฝาปิด มีวัดไม่มีพระสงฆ์ มีถุงไม่มีที่ห้อย ของเหล่านี้ก็ไม่ดี)
“ตกหมู่ขุนซ่อยขุนเกื่อม้า ตกหมู่ข้าซ่อยข้าพายโซน ตกหมู่โจร ซ่อยโจรหามไหเหล้า”
(ตกไปอยู่ในพวกขุนนางต้องช่วยเขาเลี้ยงม้า ตกไปอยู่กับพวกข้าต้องช่วยข้าสะพายสิ่งของตกไปอยู่ในพวกโจรต้องช่วยโจรหามไหเหล้า)
จากผญาที่ยกมานี้ จะสังเกตเห็นว่า คำสุดท้ายของแต่ละวรรคจะส่งสัมผัสไปยังวรรคต่อๆไปอย่างต่อเนื่อง
๓) สัมผัสอักษร คือคำที่มีเสียงพยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน คำที่มีสัมผัสอักษรเป็นที่นิยมมากในบทผญาอีสาน สัมผัสอักษรส่วนมากจะสัมผัสภายในวรรค และจะมีสัมผัสระหว่างวรรคบ้างเล็กน้อย เช่น
“ โมโหนี้พาโตตกต่ำ ให้ค่อยคึดค่อยต้านยังสิได้ต่อนคำ”
(ความโกรธนี้พาตัวเองให้ตกต่ำ(มีคุณค่าน้อยลง) ควรคิดให้รอบคอย จึงจะมีประโยชน์)
“ เชื้อชาติแฮ้งบ่ห่อนเซิ่นนำแหลว แหนวนามหงส์บ่อห่อนเซิ่นนำฝูงฮุ้ง”
(เชื้อชาติแร้งไม่ควรบินไปกับเหยี่ยว เชื้อชาติหงส์ไม่ควรบินไปกับฝูงนกอินทรีย์)
“ ชื่อว่าสงสารซ้ง กงเกวียนกลมฮอบ
เวรหากมาคอบแล้ว วอนไหว้กะบ่ฟัง”
(ชื่อว่าสังสารวัฏนั้นกลมเหมือนล้อเกวียน เมื่อผลกรรมมาถึงแล้ว ถึงแม้จะขอร้องอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่สามารถห้ามได้)
๓) ผญาที่ไร้สัมผัส หมายถึงบทผญาที่ไม่ได้ส่งสัมผัสต่อเนื่องกันไป ผญาชนิดนี้มีเสียงสูงต่ำของเสียงวรรยุกต์และจังหวะของถ้อยคำเป็นสิ่งที่ช่วยให้มีเสียงไพเราะ เช่น
“ อย่าได้หวังสุขย้อน บุญเขามาเพิ่ง
สุขกะสุขเพิ่นพุ้น บ่มากุ้มฮอดเฮา”
(อย่าได้คิดหวังถึงความสุขจากคนอื่น สุขก็สุขของเขาไม่มาถึงเรา)
“สัจจาแม่หญิงนี้คือหินหนักหมื่น ถิ้มใส่น้ำจมปิ้งแม่นบ่ฟู
( สัจจะของผู้หญิงนี้หนักแน่นเหมือนก้อนหิน ทิ้งลงน้ำจมสู่พื้นไม่โผล่ขึ้นมา)
“ของกินให้ซมดูดมดูด มันหากเป็นโทษแล้ววางถิ้มอย่ากิน”
(ของกินให้พิจารณาดู ดม ดูด หากเป็นโทษแล้ว จงวางทิ้งอย่ากิน)
๒.๑.๓ สำนวนเปรียบเทียบ โวหาร และสัญญลักษณ์ที่ปรากฏในผญาอีสาน
การใช้เป็นความเปรียบเทียบสภาพสิ่งต่างๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมอย่างน้อยที่สุดสองอย่าง เพื่อช่วยให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ สำนวนเปรียบเทียบในผญาอีสานมีลักษณะพอสรุปได้ดังนี้
๑. ใช้เป็นบุคลาธิษฐาน [ personification] เป็นการใช้ภาษาในลักษณะที่ทำให้ดูเหมือนว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่ไม่คนเป็นคน โดยให้สรรพสิ่งเหล่านั้นแสดงอากัปกิริยาต่างๆ ราวกับเป็นคน คือพูดได้ ร้องให้ได้ มีความรู้สึก เป็นการพูดเพื่อให้เกิดคติพจน์และสเทือนอารมณ์ หรือทำให้เกิดสิ่งที่มีคุณค่า ดังคำผญานี้ว่า
“ เจ้าผู้นาไฮ่ล่งประสงค์ดำแต่กล้าแก่ กล้าอ่อนมีบ่แพ้ดำได้กะบ่งาม” ( เจ้าผู้นาผืนลุ่มประสงค์ดำแต่กล้าแก่ กล้าอ่อนมีมากมาย ปลักดำได้ก็ไม่งาม)
นาไฮ่ล่ง เป็นนาที่ลุ่มที่สมบูรณ์มีน้ำมาก ใช้เปรียบเทียบกับสตรีที่มีความงดงามและมีฐานะดี เพราะนาอย่างนี้เป็นที่สมบูรณ์มากกว่านาดอนที่ไม่มีน้ำท่วมถึงย่อมขาดแคลน เปรียบเทียบให้เห็นว่า ชีวิตมนุษย์ย่อมแสวงสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง เหมือนบุรุษย่อมแสวงหาสาวที่งดงามและมีฐานะมั่นคงจึงจะทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น
คำผญาอีสานที่มักจะเปรียบเทียบให้เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวมากกว่าเช่น “ บัว, แก้ว,นิล ,ช้าง และหงส์” กวีมักจะนำมาใช้แทนสัญญลักษณ์ถึงสิ่งที่มีคุณค่าแก่ผู้สนใจ ดังคำผญานี้ว่า
“ เจ้าผู้แนวนามแก้วมหานิลอันประเสริฐ สังบ่ไปเกิดก้ำทางบ้านบ่อนนาง สังบ่เดินมาผ้ายคาเมบ้านน้องอยู่ ครั้นพี่มาอยู่พี้บ่มีได้อยู่นาน” ( เจ้าผู้เชื้อชาติแก้วมหานิลอันประเสริฐ ทำไมไม่ไปเกิดที่ทางบ้านน้อง ทำไมไม่เดินผ่านไปทางบ้านน้อง ถ้าพี่ไปอยู่ทางนั้นคงได้แต่งงานนานแล้ว)
แก้วและนิล ถือเป็นอัญมณีที่มีค่าสูงส่ง ใครก็ต้องการเก็บไว้ครอบครอง การที่เรียกคนที่ตนรักเช่นนี้เป็นการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญควรแก่การจะแต่งงานด้วย นักปราชญ์อีสานก็มักจะนำเอาสิ่งที่ตรงกันข้ามนำเปรียบเทียบสั่งสอนให้คนได้รู้จักไตรตรองพิจารณาให้รอบครอบ การครองคู่ชีวิตจะต้องอาศัยความอดทนต่อความลำบากต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังคำผญาสอนว่า
“โอ้ย ครั้นเจ้ามักข้อย แกงหอยให้มันเปื่อย แกงปลาให้เปื่อยก้าง แกงช้างให้เปื่อยงา” (โอ ถ้าคุณรักฉันจงแกงหอย แกงกระดูกปลา แกงงาช้างให้ยุ้ย) จะเห็นว่าทั้ง หอย ก้างและงาช้าง นั้นเป็นของแข็งที่ต้มแล้วไม่เปื่อยยุ่ย เป็นไปได้ยากมากที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้ละลายได้จะต้องใช้ทั้งเวลาและความอดทนมาก ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่าผญาอีสานมักจะแนะนำให้รู้จักกระรักษาสิ่งที่ดีแล้วให้อยู่ตลอด หรือให้มีความอดกลั้นต่ออุปสรรคต่างๆจึงจะพบกำความสำเร็จได้
๒. ใช้เป็นเชิงอุปลักษณ์ [Metaphor] คือใช้เป็นการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องนำมาเปรียบเทียบกันว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเท่ากันทุกอย่าง เป็นการเปรียบเทียบโดยนัย โดยใช้คำว่า อดสาห์ คือ ในการเปรียบเทียบหรืออาจจะไม่มีคำเหล่านี้เลยก็ได้ ดังคำผญาว่า
“อดสาห์ เลี้ยงช้างเฒ่าขายงาได้กินค่า เลี้ยงช้างน้อยตายจ้อยค่าบ่มี (อดทนเลี้ยงช้างแก่ๆไว้ขายงาได้ราคาดี หากว่าเลี้ยงช้างน้อยถ้าตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร) เปรียเทียบให้เห็นว่าถ้ารักกับคนที่มีอายุมากกว่าจะดีกว่ารักกับคนที่มีอายุน้อย จุดประสงค์ต้องการให้เลือกสรรเอาคนที่มีประสบการณ์มากกว่าคนหนุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความอดทนพอที่จะต่อสู้กับอุปสรรค์ของชีวิตในอนคตได้เท่ากับคนแก่ หรือตรงกับภาษิตว่า วัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อน เรื่องบุพเพสันนิวาสนี้เป็นสิ่งที่ใครๆก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ถ้าคนเราเคยสร้างกุศลมาร่วมกันย่อมได้พบกันอีก แต่ถ้าความรักไม่สมหวังก็มักจะพูดว่า “ เหลือแฮ็งสร้างกฐินบ่ได้แห่ บาดผู้เพิ่นบ่สร้าง สังมาให้แห่มา” (เสียแรงสร้างกองกฐินใหญ่โตแต่ไม่ได้แห่ ทีคนที่ไม่ได้สร้างทำไมได้มาแห่ ) คำผญาบทนี้สะท้อนถึงอารมณ์ของผู้ที่อกหักได้ดี หมายถึงคนอื่นได้ไปครอบครอง กวีมักจะนำเอาสิ่งสองอย่างมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เป็นมนุษย์ควรที่จะรักษาคำสัตย์ต่อกัน ดังคำผญาว่า
“ สัจจาแม่หญิงนี้ คือกวยกะต่าห่าง
ถิ้มใส่น้ำ ไหลเข้าสู่ตา
“สัจจาผู้ชายนี้ คือหินนักหมื่น
เซือกผูกทื้น พันเส้นบ่ติ่ง
(วาจาของสตรีเปรียบเหมือนตะกร้าที่ตาห่าง ทิ้งลงในน้ำย่อมไหลเข้าทุกแห่ง และวาจาของบุรุษเปรียบเหมือนหินที่หนัก ๑๒ กิโลกรัม เอาเชือกผูกพันเส้นมาดึงก็ไม่ขยับเขยื้อน ) เปรียบให้เห็นว่าคำพูดของสตรีเชื้อถือได้อยาก ส่วนคำพูดของผู้ชายมีความนักแน่นควรเชื้อถือได้ นี้เป็นคำที่คู่สนทนาระหว่างสตรีกับบุรุษที่ต่างกันก็ยกเหตุผลมาอ้างว่าฝ่ายตนเองนั้นมีสัจจะ แต่มนุษย์ชายหญิงในโลกนี้ย่อมมีทั้งที่ยึดหมั่นในคำสัตว์ แต่ก็มีมากที่ไม่มีคำพูดที่เป็นคำสัตย์ต่อกัน คือมีดีและเสียเท่าๆกัน ถ้ามีดีตลอดก็จะไม่มีใครผิดหวังเพราะความรัก ในเมื่อโลกมนุษย์ยังตกอยู่ในโลกธรรมแปด
๓. ผญาเชิงอุปมา [Simile] คือคำผญาที่ใช้ในเชิงเปรียบเทียบที่ทำให้เข้าใจง่ายแบบตรงไปตรงมา การเปรียบเทียบด้วยวิธีนี้เป็นการนำของสองอย่างมาเปรียบเทียบกันว่าเหมือนกันคือมีลักษญะคล้ายกัน มักจะมีคำว่า ปาน เป็นดั่ง เสมอ เปรียบ เปรียบดั่ง ปุนปานดังคำผญานี้คือ
ปาน : เจ็บปานไฟไหม้ เจ็บใจปานฟ้าฝ่า
เจ็บแสบฮ้อน ปานปิ้งปิ่นปลา
(เจ็บอกดั่งไฟไหม้ เจ็บใจดั่งฟ้าฝ่า เจ็บปวดร้าวดั่งปิ้งปลาในไฟ)
ปุนปาน : น้องอยากได้หน่วยแก้วลูกประเสริฐมหาเพชร
พออยากแทงคอตาย หน่วยพระจันทร์เป็นต้น
ปุนปานแป้งเสนหาฮักห่อ อุ่นอกมาอุ่นฮ้อนปานน้ำอาบเย็น
(น้องอยากได้ลูกแก้วอันมีค่าเทียมมหาเพชรมาไว้ในครอบครอง ถ้าไม่ได้น้องจะแทงคอตายเพราะพี่เป็นต้นเหตุ เปรียบความเสน่หาความรักมีมากมาย ร้อนอกร้อนใจก็เปรียบได้อาบน้ำเย็นสบาย )
เป็นดั่ง : อ้ายนี้ เป็นดั่งลิงโทนเฒ่า กลางไพรเต้นไต่
แสนสิไห้ยั่งมื้อ บ่มีซู้อยู่ดอม
(พี่นี้ เป็นดั่งลิงโทนแก่ๆ ในป่าเต้นไต่ไปมาไม่มีคู่เคียงกาย)
เสมอดั่ง : น้องนี้ ปลอดอ้อยซ้อย เสมอดั่งตองตัด
ผัดแต่เป็นสาวมา กะบ่มีชายซ้อน
( น้องนี้ยังโสดบริสุทธิ์เหมือนดั่งใบตองตัด ตั้งแต่เป็นสาวมายังไม่มีคู่ครอง)
เปรียบ, เปรียบดั่ง : เชื้อชาติแฮ้ง บ่มีเปรียบหงส์คำ
แนวกาดำ เปรียบหงส์คำบ่มีได้
(เชื้อชาติแร้ง กา คงเปรียบเทียบกับหงษ์คำไม่ได้)
พี่นี้ เปรียบดั่งไซ ใส่หลังหล้าบ่หมาน
ถืกกะใส่ๆไว้ บ่ถืกกะใส่ๆไว้
แล้วแต่ใจปลา น้องบู่กูณาผาย ดั่งใด๋เดน้อง
( พี่นี้ เปรียบเทียบดั่งไช่ใส่ไว้หลังสุดท้ายไม่ค่อยได้ปลา ถึงไม่ถูกปลาก็ใส่ไว้ แล้วแต่ใจของปลา น้องไม่กรุณาก็คงไม่ได้)
ทั้งห้าบทที่นำมานี้มีจุดที่น่าสังเกตว่าเป็นคำพูดที่ตัดพ้อต่อว่าบุคคลอื่นที่ตนหลงรักแต่ไม่สมหวังบ้าง หรือเป็นคำอุปมาให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ ว่าตัวผู้พูดมีความในใจว่าอย่างไร นี้ก็เป็นภูมิปัญญาของหนุ่มสาวภาคอีสานในอดีตใช้พูดจากัน เพื่อแสดงถึงการเกี้ยวพาราสีกันและยังแฝงไปด้วยคติพจน์ที่ให้ข้อคิดแก่ผู้อื่นด้วย นี้เป็นความงดงามทางภาษาอีกอย่างหนึ่งเพื่อสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจได้โดยไม่มีความคิดริษยา หรือความโกธรต่อกัน
๔. การใช้สัญลักษณ์ [ Symbol] คือการสรรหาสิ่งต่างๆที่มีความหลายถึงสิ่งอื่นที่มีคุณสมบัติร่วมกัน เกี่ยวข้องกัน เช่น พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธศาสนา ในคำผญาอีสานใช้สัญลักษณ์คือ คำที่ใช้แทนสภาพสิ่งต่างๆ ทั้งรูปธรรม และนามธรรม อันมีความหมายนอกเหนือไปจากความหมายที่กำหนดไว้ในพจนานุกรม ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปของไทยและของสากล เช่น(วิภา กงกะนันทน์ วรรณคดีศึกษา นครปฐม มหาวิทยาลัยศิลปากร 2523, หน้า 158
แสงสว่าง : เป็นสัญลักษณ์ของ ปัญญา
ความมืด : เป็นสัญลักษณ์ของ กิเลส ,ตัณหา ,อวิชชา
แก้ว : เป็นสัญลักษณ์ของ ความดีงาม,สิ่งมีคุณค่ามาก
กา : เป็นสัญลักษณ์ของ คนชั้นต่ำ, คนจน
หงส์ : เป็นสัญลักษณ์ของ คนชั้นสูง, คนมีฐานะ
แมลง : เป็นสัญลักษณ์ของ บุรุษ
ดอกไม้ : เป็นสัญลักษณ์ของ สตรี
การใช้สัญลักษณ์ที่ปรากฏในคำผญา เป็นการแนะให้คิด ไม่กล่าวตรงๆผู้ฟังต้องตีความว่าสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความคิดในเรื่องใด ส่วนใหญ่สิ่งตอบแทนเหล่านี้มักเป็นเรื่องที่รู้จักกันดีในสังคม สัญลักษณ์อื่นๆอีกที่ปรากฏในผญาอีสาน เช่น (จารุวรรณ ธรรมวัตร ลักษณะวรรณกรรมอีสาน กาฬสินธุ์ โรงพิมพ์จิตตภัณฑ์การพิมพ์ 2526 ,หน้า 239
“ผักอีตู่เตี้ยต้นต่ำใบดก กกบ่ทันฝังแน่นสังมาจีจูมดอก
ฮากบ่ทันหยั่งพื้น สังมาปี้นป่งใบ” ผักอีตู่ เป็นสัญลักษณ์ของเด็กหญิงกำลังพ้นวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่นซึ่งในผญาบทนี้กล่าวว่า เด็กสาวปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกับวัยของตน สัญลักษณ์เหล่านี้เป็นคำใช้เปรียบเทียบจากสิ่งแวดที่อยู่ใกล้ตัวที่ชาวบ้านรู้จักดี กวีมักจะนำมากล่าวสอนเตือนให้สตรีรู้ว่าสิ่งใดเหมาะแก่ตนเองและจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเป็นคนมีมารยาทงาม
“ผักหมเหี้ยนกลางทาง เจ้าอย่าฟ้าวเหยียบย่ำ
บาดเทื่อถอดยอดขาวทาวยอดดั้ว ยังสิได้ก่ายกิน” ผักหมเหี้ยน เป็นสัญลักษณ์ของคนที่อยู่ในฐานะต่ำต้อย ได้รับความลำบากแต่ก็มีโอกาสที่จะสร้างฐานะของตนได้ ตรงกับสำนวนภาคกลางว่า ไม้ล้มข้ามได้ แต่คนล้มอย่าข้าม ในคำผญาอีสานที่ปรากฏนั้นยังได้นำเอาสัตว์ต่างๆมาเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบบุคคลในสังคมได้อย่างเหมาสม เช่น ช้าง ใช้แทนคนที่มีอำนาจหรือมียศฐานบันดาศักดิ์สูง หรือหงส์คำ ใช้แทนสตรีผู้มีความงดงามและมีฐานะดี แต่สำหรับ กาดำ ใช้แทนคนชั้นต่ำ หรือเป็ดใช้แทนคนมีวาสนาน้อย หรือพืชบางชนิดก็ถูกนำมาเปรียบเทียบเช่น ดอกว่าน ดอกกระเจียวดังบทผญาว่า
“ อย่าได้เก็บดอกว่าน บ้านเพิ่นมาบาน
ให้เจ้างอยซานเก็บ ดอกกระเจียวกลางบ้าน” ดอกว่าใช้แทนสตรีที่อยู่ต่างบ้าน ส่วนดอกกระเจียวให้แทนหญิงสาวบ้านเดียวกัน พูดเป็นนัยให้หนุ่มรู้จักมองหาสาวๆในบ้านตนเองดีกว่าจะไปผูกสมัครรักใคร่กับหญิงสาวบ้านอื่น
๒.๑.๓ ประเภทของผญาอีสาน
ภาษิตอีสานแต่ละภาษิตมีความหมายลึกบ้าง ตื้นบ้าง หยาบก็มี ละเอียด ก็มี ถ้าท่านได้พบภาษิตที่หยาบๆโปรดได้เข้าใจว่า คนโบราณชอบสอนแบบตาเห็น ภาษิตประจำชาติใด ก็เป็นคำไพเราะเหมาะสมแก่คนชาตินั้น คนในชาตินั้นนิยมชมชอบว่าเป้นของดี ส่วนคนในชาติอื่นหรือถิ่นอื่นอาจเห็นว่าเป็นคำไม่ไพเราะเหมาะสมก็ได้ ความจริง”ภาษิต”คือรูปภาพที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมทางภาษาของชาตินั้นๆหรือของท้องถิ่นต่างๆนั้นเอง
ชาวอีสานมักจะมีสำนวนในการพูดที่เป็นเอกลักษณ์อยู่แบบหนึ่ง เรียกกันทั่วไปว่า “ผะหยา” มีลักษณะที่เด่นอยู่สามประการ คือ ประการแรกเป็นคำพูดหลักแหลมได้สาระแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาของผู้พูด ประการที่สองเป็นคำพูดที่ฟังแล้วได้รับความไพเราะ ด้วยเสียงสัมผัสโดยอาจจะเป็นสัมผัสสระ สัมผัสพยัญชนะหรือเล่นวรรณยุกต์มีคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ และลักษณะเด่นของผะหยาในเชิงวรรณศิลป์อีกอย่างคือ การได้คำอุปมาอุปไมย มีการใช้ความเปรียบเทียบทำให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการเห็นภาพพจน์ และทำให้เข้าใจความหมายของผะหยาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยลักษณะของความเปรียบเทียบที่ยกมาประกอบ นอกจากนี้ผะหยา ยังสามารถสะท้อนภาพความเป็นอยู่ของชาวอีสานได้ด้วย สำหรับโอกาสในการพูดผะหยา นั้นมีหลายโอกาส ได้แก่การพูดคุยทั่วไป อาจใช้ผะหยาภาษิต ผะหยาเกี้ยวจะใช้ในโอกาสที่หนุ่มสาวพบกันในเวลาปั่นฝ้าย หรือในงานประจำหมู่บ้านและใช้ผะหยาอวยพรในงานมงคลสมรสเป็นต้น
การจัดแบ่งประเภทเชิงเนื้อหาของคำผญาอีสานนั้นมี ท่านผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แบ่งเนื้อหาของผญาออกเป็นลักษณะต่างๆ หลายประเภทแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน ตามที่ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้จัดแบ่งประเภทผญาตามลักษณะของเนื้อหาไว้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก
คำผญาที่เป็นคำภาษิตคือเป็นข้อความสั้นๆ แต่เน้นความลึกซึ้ง และเป็นคำสอนไปในตัว หรือให้คติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่แสดงถึงความเป็นไปของโลกหรือชี้ให้เห็นสัจจะแห่งชีวิต ผญาอีสานนั้นเป็นทั้งภูมิปรัชญาท้องถิ่นและปัญญาธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของนักปราชญ์ อันแฝงไปด้วยคติ แง่คิด เป็นคำกล่าวที่เป็นหลักจริยธรรม อันแสดงถึงความรอบรู้ความสามารถของผู้พูด ผญาที่เป็นภาษิต ใช้พูดสั่งสอนหรือเตือนใจใช้ในโอกาสเหมือนภาษิตภาคกลาง เช่น ต้องการสั่งสอนบุตรธิดา ท่านก็เล่านิทานเป็นเชิงอุทาหรณ์แทรกคติธรรม และภาษิตที่เป็นผญาเตือนใจทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งประทับใจและจดจำไว้เป็นแบบอย่างของการครองชีวิตต่อไป
ผญานี้มักไม่กล่าวสอนอย่างตรงๆ ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อมไม่ได้สอนโดยทางตรงเมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม คำผญาเมื่อนำมาจัดแบ่งตามลักษณะของเนื้อหาแล้ว ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แบ่งเนื้อหาของผญาออกเป็นประเภทต่างๆ หลายประเภทแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน คือ
จารุบุตร เรืองสุวรรณ ได้กล่าวถึงคำผญาว่ามี ๒ ประเภท คือผญาย่อย เป็นคำพูดเปรียบเปรย เย้าแหย่ ขำขัน สนุกสนาน แต่ก็แฝงคำคมเป็นคติและอีกประเภทหนึ่งคือ ผญาภาษิต เป้นถ้อยคำแบบฉันทลักษณ์ ที่มีความไพเราะเป็นคติเตือนใจ ลึกซึ่ง แฝงคติธรรม๑๑
สาร สาระทัศนานันท์ ได้กล่าวถึงลักษณ์ทางเนื้อหาของคำผญาว่าเป็นคำกลอนสดที่คิดได้หรือจำมาก็มี และส่วนใหญ่ไม่ได้พรรณาอย่างตรงไปตรงมา คือมักเป็นคำพูดที่เป็นเชิงเปรียบเทียบให้ตีความเอาเอง และได้แบ่งเนื้อหาผญาออกเป็น ๔ ประการ คือ (๑) ภาษิตหรือคติเตือนใจ (๒) คำพังเพยหรือคำคม (๓) คำอวยพร (๔) คำที่หนุ่มสาวใช้พูดจากัน๑๒
บุปผา ทวีสุข กล่าวว่า แต่เดิมนั้นคำผญามักจะเป็นคำภาษิต เป็นคำนักปราชญ์ ต่อมามีผู้คิดผูกคำผญาเป็นทำนองเกี้ยวพาราสีเพื่อหลีกเลี่ยงการพูกฝากรักโดยตรง ให้ผู้ฟังสังเกตเอาจากนัยแห่งคำพูดเอง แล้วพูดโต้ตอบกันด้วยคำในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นคำผญาจึงแบ่งเป็นลักษณะได้ ๒ ประการ คือผญาที่เป็นคำคม สุภาษิต คำสอน และผญาที่เป็นทำนองเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว นอกจากนี้ บุปผา ทวีสุข ยังได้แบ่งผญาออกเป็น ๓ ประเภท คือ ผญาภาษิต ผญาย่อย และโตงโตยหรือยาบสร้อย ๑๓
จารุวรรณ ธรรมวัตร ได้กล่าวถึงลักษณะของผญาไว้ว่า ผญาเป็นคำพูดที่มีองค์คุณอยู่ ๕ ประการ คือ คำพูดที่มีประโยชน์หนึ่ง เป็นคำพูดที่เหมาะสมแก่กาลหนึ่ง พูดคำสัจจะหนึ่ง พูดคำอ่อนหวานหนึ่ง พูดด้วยเมตตาจิตหนึ่ง และยังแบ่งประเภทของผญาได้ ๕ ประการ คือ (๑) ผญาเกี้ยวพาราสี (๒) ผญาภาษิต (๓) ผญาอวยพร (๔) ผญาเกี้ยวแบบตลก (๕) ผญาเกี้ยวแบบสาส์น์รัก๑๔
ประเทือง คล้ายสุบรรณ์ ได้แบ่งประเภทของผญาตามลักษณะของเนื้อหาและโอกาสที่ใช้ไว้อย่างละเอียดและสอดคล้างกันที่พรชัย ศรีสารคาม ได้แบ่งได้ดังนี้(๑) ผญาภาษิต (๒) โตงโตยหรือยาบสร้าย (๓) ผญาย่อยหรือคำคม (๔) ผญาคือหรือผญาเกี้ยว (๕) ผญาอวยพร๑๕ ตามที่ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้จัดแบ่งประเภทผญาตามลักษณะของเนื้อหาไว้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก โดยสรุปแล้วมีเนื้อหาของคำผญาได้เป็น ๔ ประเภท คือ
รูปและและลักษณะของคำผญามองในด้านภาษาศาสตร์จะพบว่า ผญามีรากศัพท์มาจาก “ปัญญา”ในภาษาบาลี ในภาษาสันสกฤตใช้ว่า “ปรัชญา” แต่เมื่อพูดในภาษาท้องถิ่นจะเพี้ยนมาเป็นคำ “ปร” เป็น “ผ”ซึ่งมีหลายคำเช่น เปรต ชาวอีสานออกเสียงเป็น เผด โปรดออกเสียงเป็นโผด ดังนั้นคำผญาภาษิตอีสานจึงเป็นกลุ่มคำที่มีลักษณะดังนี้คือ
๑) มีลักษณะคล้องจ้องกันในด้านสัมผัส ฟังแล้วรื่นหูมีทั้งที่เป็นกาพย์ หรือกลอน
๒)มีความหมายที่ลึกซึ่งผู้ฟังหรือผู้อ่านต้องใช้ปัญญาหยั่งรู้จึงจะเข้าใจในความหมายที่แฝงเร้นอยู่ในข้อความหรือกลุ่มคำนั้นๆ
๓) เป็นหมู่คำที่แสดงออกในเชิงการมีไหวพริบปฏิภาณของผู้พูด
๔) เป็นหมู่คำที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตและใช้เป็นปรัชญาในการดำเนิดชีวิตได้
ลักษณะของคำประพันธ์อีสานนั้นมี ๔ ประการ๙ ซึ่งแต่ละลักษณะจะแตกต่างกันไม่เด่นชัดนัก ได้แก่ กาบ (กาพย์) โคง(โคลง) ฮ่าย (ร่าย) และกอน(กลอน) บทร้อยกรองที่เป็นที่นิยมของชาวอีสานนั้นมีอยู่ ๓ ชนิด๑๐ คือ
๑) ชนิดที่ไม่มีสัมผัส แต่อาศัยจังหวะของเสียงสูงต่ำของวรรณยุกต์และจังหวะของคำเป็นเกณฑ์ คำผญาเหล่านี้ก็คือโคลงดั้น หรือกลอนอ่านวิชชุมาลีนั่นเอง ดังตัวอย่างนี้คือ
(ครันเจ้า) ได้ขี่ช้าง กั้งฮ่มเป็นพญา
(อย่าสู้) ลืมความหลัง ขี่ควายคอนกล้า ๒ บาทแรก
ไม้ล้อมรั้ว ลำเดียวบ่ข่วย
ไพร่บ่พร้อม แปลงบ้านบ่เฮือง ๒ บาทหลัง
บทผญาของภาคอีสานมีลักษณะที่ตัดมาจากโคลงดั้นวิชชุมาลี โดยตัดมาเพียงบาทเดียวหรือ ๒ บาท และ ๓ บาท ก็ได้ ที่นิยมก็คือมักตัดมาใช้ ๒ บาทหลังของโคลงคือบาทที่ ๓ และ ๔ เป็นส่วนมาก ลักษณะอย่างนี้ทำให้สามารถที่จะเพิ่มคำแทรกลงภายหลังในวรรคได้ซึ่งมักเป็นคำเดี่ยวมีเสียงเบาและสามารถมีคำสร้อยอยู่ท้ายวรรคได้อีก ๒ คำ ดังนั้นบทผญาก็ดี หรือรูปแบบของโคลงในวรรคกรรมลายลักษณ์ก็ดี ในยุคแรกนั้นไม่มีสัมผัสเลย แต่มาในยุคหลังก็ได้พัฒนามามีสัมผัสมากขึ้น โดยได้รับอิทธิพลมาจากร่ายและโคลงนั้นเอง
๒) ชนิดที่มีสัมผัสแบบร่าย คือใช้สัมผัสระหว่างวรรคต่อเนื่องรับกันไปเหมือนลักษณะของร่ายเกิดเป็นโคลงดั้นที่มีสัมผัสอย่างร่าย ดังตัวอย่างนี้
“ ครันเจ้า คึดฮอดอ้าย ให้เหลียวเบิ่งเดือนดาว
สายตาเฮา จวบกันเทิงฟ้า
จะเห็นว่ามีสัมผัสรับกันแห่งเดียวคือตรงคำว่า “ดาว” กับ “เฮา” ลักษณะการรับสัมผัสแบบร่ายนี้ได้พัฒนามามีสัมผัสมากขึ้นในยุคหลัง ซึ่งจะเห็นได้จากลักษณะของกลอนลำต่างๆ
๓) ชนิดที่มีสัมผัสแบบโคลง โคลงดั้นวิชชุมาลีของอีสานแบบเก่าไม่มีสัมผัส ต่อมาก็ได้พัฒนาโดยวางสัมผัสแบบโคลงอย่างของภาคกลาง มีทั้งลักษณะสัมผัสแบบโคลงดั้นบาทกุญชรและโคลงดั้นวิวิธมาลี และมีทั้งลักษณะสัมผัสแบบโคลงสุภาพ ซึ่งในตำราล้านช้างเรียกว่า “มหาสินธุมาลี” ไม่ค่อยได้รับนิยมเท่าไหร่ บทร้อยกรองในภาคอีสานได้พัฒนามาจากรูปแบบที่ยึดถือเรื่องจังหวะคำและระดับเสียงสูงต่ำเป็นเกณฑ์ โดยไม่มีสัมผัสเลยไปสู่รูปแบบที่มีสัมผัสเพิ่มมากขึ้นในยุคหลัง ด้วยเหตุนี้ โคลงห้า ผญา โคลงดั้นวิชชุมาลี (หมายรวมถึง โคลงสาร, กลอนอ่านวิชชุมาลี, กลอนอักษรสังวาส,กลอนเทศน์) และกลอนลำของอีสานจึงล้วนมีพัฒนาการร่วมเส้นทางเดียวกันมา ในขณะที่พัฒนาการอีกเส้นทางหนึ่งคือ คำประพันธ์ของอีสานที่เรียกว่า กาพย์และฮ่าย(ร่าย) ซึ่งมุ่งเรื่องสัมผัสเป็นเกณฑ์ ก็ได้มามีอิทธิพลผสมผสานกันนี้คือพื้นฐานของบทร้อยกรองที่ปรากฏในผญาของภาคอีสาน ลักษณะทั่วไปของผญาอีสานยังแบ่งออกได้อีก ๒ ประการคือ
๑) จัดแบ่งตามแบบฉันท์ลักษณ์ของบทผญา
๒) จัดแบ่งตามลักษณะเนื้อหาของบทผญา
๒.๓.๓ จัดแบ่งตามรูปแบบทางฉันทลักษณ์ของผญา ยังแบ่งย่อยออกมาได้อีก ๒ ประการคือ
๑) บทผญาที่มีสัมผัส การใช้ถ้อยคำให้เกิดความคล้องจองกันเป็นลักษณะประจำที่มีสอดแทรกในชีวิตประจำวันของชาวอีสาน หรือ ถือเป็นความนิยมในการพูด คำผญาประเภทนี้มักมีอยู่ในรูปของร้อยกรอง มีสัมผัสระหว่างวรรคติดต่อกันโดยตลอด และมีสัมผัสภายในวรรค สัมผัสในบทผญาอีสานยังแบ่งออกเป็นสัมผัสสระและสัมผัสอักษรดังนี้คือ
๒) สัมผัสสระ คือคำที่ผสมด้วยเสียงสระเดียวกันและเสียงตัวสะกดเดียวกัน การสังสัมผัสจะส่งระหว่างวรรคต่อเนื่องกันในผญาบางบทจะส่งสัมผัสภายในวรรคก็มี เช่น “มีเฮือนบ่มีฝา มีนาบ่มีฮ่อง มีปล่องบ่มีฝาอัด
มีวัดบ่มีพระสงฆ์ มีถ่งบ่มีบ่อนห้อย ของแนวนี้กะบ่ดี
( มีบ้านไม่ฝา มีนาไม่มีร่องน้ำ มีปล่องไม่มีฝาปิด มีวัดไม่มีพระสงฆ์ มีถุงไม่มีที่ห้อย ของเหล่านี้ก็ไม่ดี)
“ตกหมู่ขุนซ่อยขุนเกื่อม้า ตกหมู่ข้าซ่อยข้าพายโซน ตกหมู่โจร ซ่อยโจรหามไหเหล้า”
(ตกไปอยู่ในพวกขุนนางต้องช่วยเขาเลี้ยงม้า ตกไปอยู่กับพวกข้าต้องช่วยข้าสะพายสิ่งของตกไปอยู่ในพวกโจรต้องช่วยโจรหามไหเหล้า)
จากผญาที่ยกมานี้ จะสังเกตเห็นว่า คำสุดท้ายของแต่ละวรรคจะส่งสัมผัสไปยังวรรคต่อๆไปอย่างต่อเนื่อง
๓) สัมผัสอักษร คือคำที่มีเสียงพยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน คำที่มีสัมผัสอักษรเป็นที่นิยมมากในบทผญาอีสาน สัมผัสอักษรส่วนมากจะสัมผัสภายในวรรค และจะมีสัมผัสระหว่างวรรคบ้างเล็กน้อย เช่น
“ โมโหนี้พาโตตกต่ำ ให้ค่อยคึดค่อยต้านยังสิได้ต่อนคำ”
(ความโกรธนี้พาตัวเองให้ตกต่ำ(มีคุณค่าน้อยลง) ควรคิดให้รอบคอย จึงจะมีประโยชน์)
“ เชื้อชาติแฮ้งบ่ห่อนเซิ่นนำแหลว แหนวนามหงส์บ่อห่อนเซิ่นนำฝูงฮุ้ง”
(เชื้อชาติแร้งไม่ควรบินไปกับเหยี่ยว เชื้อชาติหงส์ไม่ควรบินไปกับฝูงนกอินทรีย์)
“ ชื่อว่าสงสารซ้ง กงเกวียนกลมฮอบ
เวรหากมาคอบแล้ว วอนไหว้กะบ่ฟัง”
(ชื่อว่าสังสารวัฏนั้นกลมเหมือนล้อเกวียน เมื่อผลกรรมมาถึงแล้ว ถึงแม้จะขอร้องอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่สามารถห้ามได้)
๓) ผญาที่ไร้สัมผัส หมายถึงบทผญาที่ไม่ได้ส่งสัมผัสต่อเนื่องกันไป ผญาชนิดนี้มีเสียงสูงต่ำของเสียงวรรยุกต์และจังหวะของถ้อยคำเป็นสิ่งที่ช่วยให้มีเสียงไพเราะ เช่น
“ อย่าได้หวังสุขย้อน บุญเขามาเพิ่ง
สุขกะสุขเพิ่นพุ้น บ่มากุ้มฮอดเฮา”
(อย่าได้คิดหวังถึงความสุขจากคนอื่น สุขก็สุขของเขาไม่มาถึงเรา)
“สัจจาแม่หญิงนี้คือหินหนักหมื่น ถิ้มใส่น้ำจมปิ้งแม่นบ่ฟู
( สัจจะของผู้หญิงนี้หนักแน่นเหมือนก้อนหิน ทิ้งลงน้ำจมสู่พื้นไม่โผล่ขึ้นมา)
“ของกินให้ซมดูดมดูด มันหากเป็นโทษแล้ววางถิ้มอย่ากิน”
(ของกินให้พิจารณาดู ดม ดูด หากเป็นโทษแล้ว จงวางทิ้งอย่ากิน)
๒.๑.๓ สำนวนเปรียบเทียบ โวหาร และสัญญลักษณ์ที่ปรากฏในผญาอีสาน
การใช้เป็นความเปรียบเทียบสภาพสิ่งต่างๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมอย่างน้อยที่สุดสองอย่าง เพื่อช่วยให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ สำนวนเปรียบเทียบในผญาอีสานมีลักษณะพอสรุปได้ดังนี้
๑. ใช้เป็นบุคลาธิษฐาน [ personification] เป็นการใช้ภาษาในลักษณะที่ทำให้ดูเหมือนว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่ไม่คนเป็นคน โดยให้สรรพสิ่งเหล่านั้นแสดงอากัปกิริยาต่างๆ ราวกับเป็นคน คือพูดได้ ร้องให้ได้ มีความรู้สึก เป็นการพูดเพื่อให้เกิดคติพจน์และสเทือนอารมณ์ หรือทำให้เกิดสิ่งที่มีคุณค่า ดังคำผญานี้ว่า
“ เจ้าผู้นาไฮ่ล่งประสงค์ดำแต่กล้าแก่ กล้าอ่อนมีบ่แพ้ดำได้กะบ่งาม” ( เจ้าผู้นาผืนลุ่มประสงค์ดำแต่กล้าแก่ กล้าอ่อนมีมากมาย ปลักดำได้ก็ไม่งาม)
นาไฮ่ล่ง เป็นนาที่ลุ่มที่สมบูรณ์มีน้ำมาก ใช้เปรียบเทียบกับสตรีที่มีความงดงามและมีฐานะดี เพราะนาอย่างนี้เป็นที่สมบูรณ์มากกว่านาดอนที่ไม่มีน้ำท่วมถึงย่อมขาดแคลน เปรียบเทียบให้เห็นว่า ชีวิตมนุษย์ย่อมแสวงสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง เหมือนบุรุษย่อมแสวงหาสาวที่งดงามและมีฐานะมั่นคงจึงจะทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น
คำผญาอีสานที่มักจะเปรียบเทียบให้เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวมากกว่าเช่น “ บัว, แก้ว,นิล ,ช้าง และหงส์” กวีมักจะนำมาใช้แทนสัญญลักษณ์ถึงสิ่งที่มีคุณค่าแก่ผู้สนใจ ดังคำผญานี้ว่า
“ เจ้าผู้แนวนามแก้วมหานิลอันประเสริฐ สังบ่ไปเกิดก้ำทางบ้านบ่อนนาง สังบ่เดินมาผ้ายคาเมบ้านน้องอยู่ ครั้นพี่มาอยู่พี้บ่มีได้อยู่นาน” ( เจ้าผู้เชื้อชาติแก้วมหานิลอันประเสริฐ ทำไมไม่ไปเกิดที่ทางบ้านน้อง ทำไมไม่เดินผ่านไปทางบ้านน้อง ถ้าพี่ไปอยู่ทางนั้นคงได้แต่งงานนานแล้ว)
แก้วและนิล ถือเป็นอัญมณีที่มีค่าสูงส่ง ใครก็ต้องการเก็บไว้ครอบครอง การที่เรียกคนที่ตนรักเช่นนี้เป็นการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญควรแก่การจะแต่งงานด้วย นักปราชญ์อีสานก็มักจะนำเอาสิ่งที่ตรงกันข้ามนำเปรียบเทียบสั่งสอนให้คนได้รู้จักไตรตรองพิจารณาให้รอบครอบ การครองคู่ชีวิตจะต้องอาศัยความอดทนต่อความลำบากต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังคำผญาสอนว่า
“โอ้ย ครั้นเจ้ามักข้อย แกงหอยให้มันเปื่อย แกงปลาให้เปื่อยก้าง แกงช้างให้เปื่อยงา” (โอ ถ้าคุณรักฉันจงแกงหอย แกงกระดูกปลา แกงงาช้างให้ยุ้ย) จะเห็นว่าทั้ง หอย ก้างและงาช้าง นั้นเป็นของแข็งที่ต้มแล้วไม่เปื่อยยุ่ย เป็นไปได้ยากมากที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้ละลายได้จะต้องใช้ทั้งเวลาและความอดทนมาก ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่าผญาอีสานมักจะแนะนำให้รู้จักกระรักษาสิ่งที่ดีแล้วให้อยู่ตลอด หรือให้มีความอดกลั้นต่ออุปสรรคต่างๆจึงจะพบกำความสำเร็จได้
๒. ใช้เป็นเชิงอุปลักษณ์ [Metaphor] คือใช้เป็นการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องนำมาเปรียบเทียบกันว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเท่ากันทุกอย่าง เป็นการเปรียบเทียบโดยนัย โดยใช้คำว่า อดสาห์ คือ ในการเปรียบเทียบหรืออาจจะไม่มีคำเหล่านี้เลยก็ได้ ดังคำผญาว่า
“อดสาห์ เลี้ยงช้างเฒ่าขายงาได้กินค่า เลี้ยงช้างน้อยตายจ้อยค่าบ่มี (อดทนเลี้ยงช้างแก่ๆไว้ขายงาได้ราคาดี หากว่าเลี้ยงช้างน้อยถ้าตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร) เปรียเทียบให้เห็นว่าถ้ารักกับคนที่มีอายุมากกว่าจะดีกว่ารักกับคนที่มีอายุน้อย จุดประสงค์ต้องการให้เลือกสรรเอาคนที่มีประสบการณ์มากกว่าคนหนุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความอดทนพอที่จะต่อสู้กับอุปสรรค์ของชีวิตในอนคตได้เท่ากับคนแก่ หรือตรงกับภาษิตว่า วัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อน เรื่องบุพเพสันนิวาสนี้เป็นสิ่งที่ใครๆก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ถ้าคนเราเคยสร้างกุศลมาร่วมกันย่อมได้พบกันอีก แต่ถ้าความรักไม่สมหวังก็มักจะพูดว่า “ เหลือแฮ็งสร้างกฐินบ่ได้แห่ บาดผู้เพิ่นบ่สร้าง สังมาให้แห่มา” (เสียแรงสร้างกองกฐินใหญ่โตแต่ไม่ได้แห่ ทีคนที่ไม่ได้สร้างทำไมได้มาแห่ ) คำผญาบทนี้สะท้อนถึงอารมณ์ของผู้ที่อกหักได้ดี หมายถึงคนอื่นได้ไปครอบครอง กวีมักจะนำเอาสิ่งสองอย่างมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เป็นมนุษย์ควรที่จะรักษาคำสัตย์ต่อกัน ดังคำผญาว่า
“ สัจจาแม่หญิงนี้ คือกวยกะต่าห่าง
ถิ้มใส่น้ำ ไหลเข้าสู่ตา
“สัจจาผู้ชายนี้ คือหินนักหมื่น
เซือกผูกทื้น พันเส้นบ่ติ่ง
(วาจาของสตรีเปรียบเหมือนตะกร้าที่ตาห่าง ทิ้งลงในน้ำย่อมไหลเข้าทุกแห่ง และวาจาของบุรุษเปรียบเหมือนหินที่หนัก ๑๒ กิโลกรัม เอาเชือกผูกพันเส้นมาดึงก็ไม่ขยับเขยื้อน ) เปรียบให้เห็นว่าคำพูดของสตรีเชื้อถือได้อยาก ส่วนคำพูดของผู้ชายมีความนักแน่นควรเชื้อถือได้ นี้เป็นคำที่คู่สนทนาระหว่างสตรีกับบุรุษที่ต่างกันก็ยกเหตุผลมาอ้างว่าฝ่ายตนเองนั้นมีสัจจะ แต่มนุษย์ชายหญิงในโลกนี้ย่อมมีทั้งที่ยึดหมั่นในคำสัตว์ แต่ก็มีมากที่ไม่มีคำพูดที่เป็นคำสัตย์ต่อกัน คือมีดีและเสียเท่าๆกัน ถ้ามีดีตลอดก็จะไม่มีใครผิดหวังเพราะความรัก ในเมื่อโลกมนุษย์ยังตกอยู่ในโลกธรรมแปด
๓. ผญาเชิงอุปมา [Simile] คือคำผญาที่ใช้ในเชิงเปรียบเทียบที่ทำให้เข้าใจง่ายแบบตรงไปตรงมา การเปรียบเทียบด้วยวิธีนี้เป็นการนำของสองอย่างมาเปรียบเทียบกันว่าเหมือนกันคือมีลักษญะคล้ายกัน มักจะมีคำว่า ปาน เป็นดั่ง เสมอ เปรียบ เปรียบดั่ง ปุนปานดังคำผญานี้คือ
ปาน : เจ็บปานไฟไหม้ เจ็บใจปานฟ้าฝ่า
เจ็บแสบฮ้อน ปานปิ้งปิ่นปลา
(เจ็บอกดั่งไฟไหม้ เจ็บใจดั่งฟ้าฝ่า เจ็บปวดร้าวดั่งปิ้งปลาในไฟ)
ปุนปาน : น้องอยากได้หน่วยแก้วลูกประเสริฐมหาเพชร
พออยากแทงคอตาย หน่วยพระจันทร์เป็นต้น
ปุนปานแป้งเสนหาฮักห่อ อุ่นอกมาอุ่นฮ้อนปานน้ำอาบเย็น
(น้องอยากได้ลูกแก้วอันมีค่าเทียมมหาเพชรมาไว้ในครอบครอง ถ้าไม่ได้น้องจะแทงคอตายเพราะพี่เป็นต้นเหตุ เปรียบความเสน่หาความรักมีมากมาย ร้อนอกร้อนใจก็เปรียบได้อาบน้ำเย็นสบาย )
เป็นดั่ง : อ้ายนี้ เป็นดั่งลิงโทนเฒ่า กลางไพรเต้นไต่
แสนสิไห้ยั่งมื้อ บ่มีซู้อยู่ดอม
(พี่นี้ เป็นดั่งลิงโทนแก่ๆ ในป่าเต้นไต่ไปมาไม่มีคู่เคียงกาย)
เสมอดั่ง : น้องนี้ ปลอดอ้อยซ้อย เสมอดั่งตองตัด
ผัดแต่เป็นสาวมา กะบ่มีชายซ้อน
( น้องนี้ยังโสดบริสุทธิ์เหมือนดั่งใบตองตัด ตั้งแต่เป็นสาวมายังไม่มีคู่ครอง)
เปรียบ, เปรียบดั่ง : เชื้อชาติแฮ้ง บ่มีเปรียบหงส์คำ
แนวกาดำ เปรียบหงส์คำบ่มีได้
(เชื้อชาติแร้ง กา คงเปรียบเทียบกับหงษ์คำไม่ได้)
พี่นี้ เปรียบดั่งไซ ใส่หลังหล้าบ่หมาน
ถืกกะใส่ๆไว้ บ่ถืกกะใส่ๆไว้
แล้วแต่ใจปลา น้องบู่กูณาผาย ดั่งใด๋เดน้อง
( พี่นี้ เปรียบเทียบดั่งไช่ใส่ไว้หลังสุดท้ายไม่ค่อยได้ปลา ถึงไม่ถูกปลาก็ใส่ไว้ แล้วแต่ใจของปลา น้องไม่กรุณาก็คงไม่ได้)
ทั้งห้าบทที่นำมานี้มีจุดที่น่าสังเกตว่าเป็นคำพูดที่ตัดพ้อต่อว่าบุคคลอื่นที่ตนหลงรักแต่ไม่สมหวังบ้าง หรือเป็นคำอุปมาให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ ว่าตัวผู้พูดมีความในใจว่าอย่างไร นี้ก็เป็นภูมิปัญญาของหนุ่มสาวภาคอีสานในอดีตใช้พูดจากัน เพื่อแสดงถึงการเกี้ยวพาราสีกันและยังแฝงไปด้วยคติพจน์ที่ให้ข้อคิดแก่ผู้อื่นด้วย นี้เป็นความงดงามทางภาษาอีกอย่างหนึ่งเพื่อสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจได้โดยไม่มีความคิดริษยา หรือความโกธรต่อกัน
๔. การใช้สัญลักษณ์ [ Symbol] คือการสรรหาสิ่งต่างๆที่มีความหลายถึงสิ่งอื่นที่มีคุณสมบัติร่วมกัน เกี่ยวข้องกัน เช่น พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธศาสนา ในคำผญาอีสานใช้สัญลักษณ์คือ คำที่ใช้แทนสภาพสิ่งต่างๆ ทั้งรูปธรรม และนามธรรม อันมีความหมายนอกเหนือไปจากความหมายที่กำหนดไว้ในพจนานุกรม ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปของไทยและของสากล เช่น(วิภา กงกะนันทน์ วรรณคดีศึกษา นครปฐม มหาวิทยาลัยศิลปากร 2523, หน้า 158
แสงสว่าง : เป็นสัญลักษณ์ของ ปัญญา
ความมืด : เป็นสัญลักษณ์ของ กิเลส ,ตัณหา ,อวิชชา
แก้ว : เป็นสัญลักษณ์ของ ความดีงาม,สิ่งมีคุณค่ามาก
กา : เป็นสัญลักษณ์ของ คนชั้นต่ำ, คนจน
หงส์ : เป็นสัญลักษณ์ของ คนชั้นสูง, คนมีฐานะ
แมลง : เป็นสัญลักษณ์ของ บุรุษ
ดอกไม้ : เป็นสัญลักษณ์ของ สตรี
การใช้สัญลักษณ์ที่ปรากฏในคำผญา เป็นการแนะให้คิด ไม่กล่าวตรงๆผู้ฟังต้องตีความว่าสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความคิดในเรื่องใด ส่วนใหญ่สิ่งตอบแทนเหล่านี้มักเป็นเรื่องที่รู้จักกันดีในสังคม สัญลักษณ์อื่นๆอีกที่ปรากฏในผญาอีสาน เช่น (จารุวรรณ ธรรมวัตร ลักษณะวรรณกรรมอีสาน กาฬสินธุ์ โรงพิมพ์จิตตภัณฑ์การพิมพ์ 2526 ,หน้า 239
“ผักอีตู่เตี้ยต้นต่ำใบดก กกบ่ทันฝังแน่นสังมาจีจูมดอก
ฮากบ่ทันหยั่งพื้น สังมาปี้นป่งใบ” ผักอีตู่ เป็นสัญลักษณ์ของเด็กหญิงกำลังพ้นวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่นซึ่งในผญาบทนี้กล่าวว่า เด็กสาวปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกับวัยของตน สัญลักษณ์เหล่านี้เป็นคำใช้เปรียบเทียบจากสิ่งแวดที่อยู่ใกล้ตัวที่ชาวบ้านรู้จักดี กวีมักจะนำมากล่าวสอนเตือนให้สตรีรู้ว่าสิ่งใดเหมาะแก่ตนเองและจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเป็นคนมีมารยาทงาม
“ผักหมเหี้ยนกลางทาง เจ้าอย่าฟ้าวเหยียบย่ำ
บาดเทื่อถอดยอดขาวทาวยอดดั้ว ยังสิได้ก่ายกิน” ผักหมเหี้ยน เป็นสัญลักษณ์ของคนที่อยู่ในฐานะต่ำต้อย ได้รับความลำบากแต่ก็มีโอกาสที่จะสร้างฐานะของตนได้ ตรงกับสำนวนภาคกลางว่า ไม้ล้มข้ามได้ แต่คนล้มอย่าข้าม ในคำผญาอีสานที่ปรากฏนั้นยังได้นำเอาสัตว์ต่างๆมาเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบบุคคลในสังคมได้อย่างเหมาสม เช่น ช้าง ใช้แทนคนที่มีอำนาจหรือมียศฐานบันดาศักดิ์สูง หรือหงส์คำ ใช้แทนสตรีผู้มีความงดงามและมีฐานะดี แต่สำหรับ กาดำ ใช้แทนคนชั้นต่ำ หรือเป็ดใช้แทนคนมีวาสนาน้อย หรือพืชบางชนิดก็ถูกนำมาเปรียบเทียบเช่น ดอกว่าน ดอกกระเจียวดังบทผญาว่า
“ อย่าได้เก็บดอกว่าน บ้านเพิ่นมาบาน
ให้เจ้างอยซานเก็บ ดอกกระเจียวกลางบ้าน” ดอกว่าใช้แทนสตรีที่อยู่ต่างบ้าน ส่วนดอกกระเจียวให้แทนหญิงสาวบ้านเดียวกัน พูดเป็นนัยให้หนุ่มรู้จักมองหาสาวๆในบ้านตนเองดีกว่าจะไปผูกสมัครรักใคร่กับหญิงสาวบ้านอื่น
๒.๑.๓ ประเภทของผญาอีสาน
ภาษิตอีสานแต่ละภาษิตมีความหมายลึกบ้าง ตื้นบ้าง หยาบก็มี ละเอียด ก็มี ถ้าท่านได้พบภาษิตที่หยาบๆโปรดได้เข้าใจว่า คนโบราณชอบสอนแบบตาเห็น ภาษิตประจำชาติใด ก็เป็นคำไพเราะเหมาะสมแก่คนชาตินั้น คนในชาตินั้นนิยมชมชอบว่าเป้นของดี ส่วนคนในชาติอื่นหรือถิ่นอื่นอาจเห็นว่าเป็นคำไม่ไพเราะเหมาะสมก็ได้ ความจริง”ภาษิต”คือรูปภาพที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมทางภาษาของชาตินั้นๆหรือของท้องถิ่นต่างๆนั้นเอง
ชาวอีสานมักจะมีสำนวนในการพูดที่เป็นเอกลักษณ์อยู่แบบหนึ่ง เรียกกันทั่วไปว่า “ผะหยา” มีลักษณะที่เด่นอยู่สามประการ คือ ประการแรกเป็นคำพูดหลักแหลมได้สาระแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาของผู้พูด ประการที่สองเป็นคำพูดที่ฟังแล้วได้รับความไพเราะ ด้วยเสียงสัมผัสโดยอาจจะเป็นสัมผัสสระ สัมผัสพยัญชนะหรือเล่นวรรณยุกต์มีคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ และลักษณะเด่นของผะหยาในเชิงวรรณศิลป์อีกอย่างคือ การได้คำอุปมาอุปไมย มีการใช้ความเปรียบเทียบทำให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการเห็นภาพพจน์ และทำให้เข้าใจความหมายของผะหยาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยลักษณะของความเปรียบเทียบที่ยกมาประกอบ นอกจากนี้ผะหยา ยังสามารถสะท้อนภาพความเป็นอยู่ของชาวอีสานได้ด้วย สำหรับโอกาสในการพูดผะหยา นั้นมีหลายโอกาส ได้แก่การพูดคุยทั่วไป อาจใช้ผะหยาภาษิต ผะหยาเกี้ยวจะใช้ในโอกาสที่หนุ่มสาวพบกันในเวลาปั่นฝ้าย หรือในงานประจำหมู่บ้านและใช้ผะหยาอวยพรในงานมงคลสมรสเป็นต้น
การจัดแบ่งประเภทเชิงเนื้อหาของคำผญาอีสานนั้นมี ท่านผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แบ่งเนื้อหาของผญาออกเป็นลักษณะต่างๆ หลายประเภทแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน ตามที่ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้จัดแบ่งประเภทผญาตามลักษณะของเนื้อหาไว้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก
คำผญาที่เป็นคำภาษิตคือเป็นข้อความสั้นๆ แต่เน้นความลึกซึ้ง และเป็นคำสอนไปในตัว หรือให้คติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่แสดงถึงความเป็นไปของโลกหรือชี้ให้เห็นสัจจะแห่งชีวิต ผญาอีสานนั้นเป็นทั้งภูมิปรัชญาท้องถิ่นและปัญญาธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของนักปราชญ์ อันแฝงไปด้วยคติ แง่คิด เป็นคำกล่าวที่เป็นหลักจริยธรรม อันแสดงถึงความรอบรู้ความสามารถของผู้พูด ผญาที่เป็นภาษิต ใช้พูดสั่งสอนหรือเตือนใจใช้ในโอกาสเหมือนภาษิตภาคกลาง เช่น ต้องการสั่งสอนบุตรธิดา ท่านก็เล่านิทานเป็นเชิงอุทาหรณ์แทรกคติธรรม และภาษิตที่เป็นผญาเตือนใจทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งประทับใจและจดจำไว้เป็นแบบอย่างของการครองชีวิตต่อไป
ผญานี้มักไม่กล่าวสอนอย่างตรงๆ ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อมไม่ได้สอนโดยทางตรงเมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม คำผญาเมื่อนำมาจัดแบ่งตามลักษณะของเนื้อหาแล้ว ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แบ่งเนื้อหาของผญาออกเป็นประเภทต่างๆ หลายประเภทแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน คือ
จารุบุตร เรืองสุวรรณ ได้กล่าวถึงคำผญาว่ามี ๒ ประเภท คือผญาย่อย เป็นคำพูดเปรียบเปรย เย้าแหย่ ขำขัน สนุกสนาน แต่ก็แฝงคำคมเป็นคติและอีกประเภทหนึ่งคือ ผญาภาษิต เป้นถ้อยคำแบบฉันทลักษณ์ ที่มีความไพเราะเป็นคติเตือนใจ ลึกซึ่ง แฝงคติธรรม๑๑
สาร สาระทัศนานันท์ ได้กล่าวถึงลักษณ์ทางเนื้อหาของคำผญาว่าเป็นคำกลอนสดที่คิดได้หรือจำมาก็มี และส่วนใหญ่ไม่ได้พรรณาอย่างตรงไปตรงมา คือมักเป็นคำพูดที่เป็นเชิงเปรียบเทียบให้ตีความเอาเอง และได้แบ่งเนื้อหาผญาออกเป็น ๔ ประการ คือ (๑) ภาษิตหรือคติเตือนใจ (๒) คำพังเพยหรือคำคม (๓) คำอวยพร (๔) คำที่หนุ่มสาวใช้พูดจากัน๑๒
บุปผา ทวีสุข กล่าวว่า แต่เดิมนั้นคำผญามักจะเป็นคำภาษิต เป็นคำนักปราชญ์ ต่อมามีผู้คิดผูกคำผญาเป็นทำนองเกี้ยวพาราสีเพื่อหลีกเลี่ยงการพูกฝากรักโดยตรง ให้ผู้ฟังสังเกตเอาจากนัยแห่งคำพูดเอง แล้วพูดโต้ตอบกันด้วยคำในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นคำผญาจึงแบ่งเป็นลักษณะได้ ๒ ประการ คือผญาที่เป็นคำคม สุภาษิต คำสอน และผญาที่เป็นทำนองเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว นอกจากนี้ บุปผา ทวีสุข ยังได้แบ่งผญาออกเป็น ๓ ประเภท คือ ผญาภาษิต ผญาย่อย และโตงโตยหรือยาบสร้อย ๑๓
จารุวรรณ ธรรมวัตร ได้กล่าวถึงลักษณะของผญาไว้ว่า ผญาเป็นคำพูดที่มีองค์คุณอยู่ ๕ ประการ คือ คำพูดที่มีประโยชน์หนึ่ง เป็นคำพูดที่เหมาะสมแก่กาลหนึ่ง พูดคำสัจจะหนึ่ง พูดคำอ่อนหวานหนึ่ง พูดด้วยเมตตาจิตหนึ่ง และยังแบ่งประเภทของผญาได้ ๕ ประการ คือ (๑) ผญาเกี้ยวพาราสี (๒) ผญาภาษิต (๓) ผญาอวยพร (๔) ผญาเกี้ยวแบบตลก (๕) ผญาเกี้ยวแบบสาส์น์รัก๑๔
ประเทือง คล้ายสุบรรณ์ ได้แบ่งประเภทของผญาตามลักษณะของเนื้อหาและโอกาสที่ใช้ไว้อย่างละเอียดและสอดคล้างกันที่พรชัย ศรีสารคาม ได้แบ่งได้ดังนี้(๑) ผญาภาษิต (๒) โตงโตยหรือยาบสร้าย (๓) ผญาย่อยหรือคำคม (๔) ผญาคือหรือผญาเกี้ยว (๕) ผญาอวยพร๑๕ ตามที่ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้จัดแบ่งประเภทผญาตามลักษณะของเนื้อหาไว้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก โดยสรุปแล้วมีเนื้อหาของคำผญาได้เป็น ๔ ประเภท คือ
ຮີດຜົວຄອງເມັຍ
๑.๒๘ วรรณกรรมอีสานอีตผัวคลองเมีย169
เป็นการสอนในการครองเรือนให้มีความสุขที่เป็นข้อปฏิบัติสำหรับสามีภรรยาที่ต้องมีความรักใคร่ต่อกัน การประพฤติหลักของอีตผัวคองเมียนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะธรรมดาทัศนะคติของคนสองคนที่มาเป็นคู่ครองกันนั้นย่อมแตกต่างกันไปตามอุปนิสัยบางคนแข็งกระด้างบ้างคนอ่อนน้อม ดังนั้นปราชญ์อีสานจึงสอนว่าการเป็นสามีภรรยากันนั้นมันง่ายแต่จะครองรักอย่างไรจึงจะมีความสุขได้ ตามความเชื่อของคนไทยโบราณสอนว่าสามีเป็นช้างเท้าหน้าภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง เพราะสมัยโบราณนั้นผู้หญิงก็มีความเชื่อเช่นนั้นเป็นทุนอยู่เดิมเหมือนกันดังจะเห็นได้จากวรรณกรรมของอีสานทุกเรื่องจะอบรมสั่งสอนลูกหญิงให้เชื่อฟังผู้เป็นสามีแต่ฝ่ายเดียว อาจเป็นด้วยเหตุก็ได้ที่ทำให้หญิงไทยชาวอีสานเป็นช้างเท้าหลังตลอดมา แต่ในภาวะทุกวันนี้ทัศนะให้เรื่องเหล่านี้เริ่มเสื่อมลงไปตามภาวะเศรษฐกิจและบ้านเมืองที่เจริญมากขึ้นสิทธิสตรีก็เสมอกับชายทุกประการ แต่ถึงกระนั้นก็ตามหญิงก็คือหญิง สุภาษิตอีสานจะสอนให้ผัวเมียได้รู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับสถานภาพของตน คือเมื่อเป็นสามีภรรยากันจะต้องรู้จักให้เกียรติกัน เคารพญาติทั้งสองฝ่าย ให้มีความขยันมั่นเพียรในการทำมาหากิน ให้รักเดียวใจเดียวชื่อสัตย์ต่อกัน ดังคำกลอนสุภาษิตโบราณอีสานสอนในเรื่องคองของสามีภรรยานี้ว่า
หน้าที่ของสามี ๕ สถานคือ
๑) ให้ผัวพาเมียสร้างนาสวนปลูกหว่าน พาเมียเป็นพ่อแม่บ้านครองเย้าให้อยู่ดี
๒) ให้วาจาเว้าแถลงนัวเว้าม่วน อย่าได้ซึกซากฮ่ายคำเข้มเสียดสี
๓) ให้เคารพชาติเชื้อสกุลฝ่ายทางเมีย นว่าญาติกาวงศ์วานทางฝ่ายเมียให้
๔) การละเล่นหวยโปเบี้ยถั่วทางนักเลง สุราพร่ำพร้อมอย่าวอนเว้าอ่าวหา
๕) สินสมสร้างศฤงคารทรัพย์สิ่ง มอบให้เมียเมี้ยนไว้ในย้าวจั่งแม่นคอง
หน้าที่ของภรรยา ๕ สถาน คือ
๑) กิจการบ้านให้ทางเมียเป็นใหญ่ ให้เมียเป็นแม่บ้านการสร้างซ่อยผัว
๒) ให้มีจาจาเว้าแถลงนัวเว้าม่วน อย่าได้ซึมซากฮ่ายคำเข้มเสียดสี
๓) ให้เมียเคารพชาติเชื้อสกุลฝ่ายทางผัว อันว่าญาติกาวงศ์วานทางฝ่ายผัวให้
ค่อยยำเกรงย้าน
๔) ให้ฮู้จักทำการเกื้อบริวารเว้าม้วน สงเคราะห์ญาติพี่น้องเสมอก้ำเกิ่งกัน
๕) สินสมสร้างศฤงคารทรัพย์สิ่ง ผัวมอบให้เมียฮู้ฮ่อมสงวน
ควรที่จับจ่ายซื่อของจำเป็นสมค่า อย่าได้จับจ่ายใช้หลายล้นสิ่งบ่ควร
คันแม่นทำถึกต้องคองผัวเมียโบราณแต่ง จักลุลาภได้ชยะโชคเจริญศรี
สถาพรพูนผลซู่อันโฮมเฮ้าจักงอกงาม เงยขึ้นอุดมผลสูงส่งเงินคำไหลหลั่งเข้า เจริญขึ้นมั่งมี บริบูรณ์ศรีสุขทุกข์บ่เวินมาใก้ล นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำสำหรับผู้เป็นสามีและภรรยาที่พึ่งยึดถือปฏิบัติดังคำกลอนโบราณสอนไว้ว่า
วัตรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นสามี คือ
ขอให้เจ้าตื่นเดิกไปไฮ่ก่อนกา ขอให้เจ้าตื่นเดิกไปนาก่อนไก่
ให้เจ้าไปจับฮั่วอ้อมบ่อนควายเลียม บ่าแบกเสียมทั้งไปยามส้อน
เลยเบิ่งต้อนเบิ่งหลี่เบิ่งไซ เห็นน้ำไหลคันนาให้ฮีบอัดเอาไว้
ปีใดแล้งย่อมได้กินข้าวปลา ให้เจ้ามีปัญญคึดหาเครื่องปลูก
ทั้งส้มสูกกล้วยอ้อยของเจ้าซู่ยาม ตามดอนนาปลูกพริกหมากเขือน้ำเต้า
ทั้งหมากพร้าวมี้ม่วงตาวตาล ส้มและหวานหมากพลูอย่าคร้าน
คันเจ้าอยู่บ้านให้เบิ่งเฮือนซาน เบิ่งสถานปักตูป่องเอี้ยม
ให้เจ้าเยี่ยมเบิ่งข้อง แห มอง ทั้งสุ่ม ของ ซุมนี้แพงไว้เฮ็ดกิน
ฝนตกรินฮำย้อยอย่าถอนกลัวขยาด เถิงซิตกสาดพังฮองเข้าใส่โองไห
คราดไถแอกให้หลาไนมีทุกสิ่ง ทั้งสวิงกำพั้นฟืมพร้อมใส่กระส่วย
ของหมู่นี้ซิซ่อยให้มีอยู่มีกิน ผัวให้ยินดีหาอย่าไลลาคร้าน
คันตื่นขึ้นเช้าให้เจ้าเลียบเบิ่งเฮือนตน ลางเทื่อโจรเอาของลักมาวางไว้
เจ้าอย่าให้ฮั่วแป่ม้างเป็นฮ่อมทลายลง มันจักเสียของเฮาบ่ปลูกฝังเสียเสี้ยง
ให้เจ้าเตื้องปลูกดอกซ้อนซอนดอกจำปา ยามอยากเอาบูชาง่ายดีบ่มีฮ้อน
ให้เจ้าปลูกต้นไม้ไว้ซ้นฮ่มแยงเงา ยามเมื่อเฮาตายปะย่อมมีคนย่อง
แม่นสกุณาเค้าบินมาจับอยู่ก็ดี บุญก็ย่อมได้คุณนั้นบ่อห่อนเสีย
อันหนึ่งให้เจ้าคึดค้าซื้อถึกขายแพง คึดล่ำแยงหาเงินใช้ง่าย
ขายหมากไม้แม่วัวโตควาย ทางใดซิรวยให้เจ้าคึดฮำดูเลิงถ้อน ฯลฯ
ข้อวัตรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นภรรยา
แนวแม่หญิงนี้บ่มีผัวซ้อนนอนนำก็บ่อุ่น แม่หญิงซิตั้งอยู่ได้เป็นใหญ่ใสสกุล
ก็เพราะคุณของผัวคว่ามาแปลงสร้าง แม่หญิงนี้ซิมีคนย้านนบนอบยำเกรงก็เพราะ
บุญของผัว
แม่หญิงซิมีคนล้อมบริวารแหนแห่ ก็ย้อนผัวแท้ๆอย่าจาอ้างว่าโต
ผัวหากโมโหฮ้ายใจไวเคียดง่าย ให้นางเอาดีเข้าใจเว้าอย่างแข็ง
อย่าได้แปลงความส้มขมในให้ผัวขื่น ให้เอาดีขื่นไว้ใจเจ้าให้อ่อนหวาน
อุปมาเปรียบได้ดั่งอ้อมันหากอ่อนตามลม ธรรมดาว่าอ้อลมมาบ่ห่อนโค่น
เพราะว่ามันบ่ตั้งขันสู่ต่อลม คือดังสมเสลานัอยสอยวอยงามยิ่ง
ก่อผัวซิฮักกล่อมกลิ้งแฝงผั้นบ่มาย เพราะนางเป็นคนดีได้ใจบุญสอนง่าย
บ่เป็นคนบาปฮ้ายใจบ้าด่าผัว มีแต่ทำโตน้อมถนอมผัวโอนอ่อน
บ่แสนงอนดีดดิ้นศีลห้าหมั่นถนอม หาแต่แนวมาล้อมศีลธรรมคำขอบ
เว้านอบน้อมต่อผัวนั้นซู่วัน อันนี้ชื่อว่าเป็นหญิงมั่นในคองพุทธบาท
เทวดากะซิย่องผิวเนื้อผ่องใส หัวใจเจ้าเป็นหญิงสมชื่อ
ถือคุณผัวขึ้นไว้เพียงแก้วหน่วยตา ธรรมดาคนนี้อับจนก็ตามซ่าง
ให้ถือคุณผัวขึ้นไว้เมื่อหน้าหากซิมีเจ้าเอย อันหนึ่งในนาถน้อยตื่นก่อนผัวตน
ให้ปรนนิบัติผัวบ่อนนอนหมอนมุ้ง ยามยุงบินเข้าสมเสลาให้เจ้าไล่
คันเดิกซอกไซ้ให้นอนใกล้หม่อผัว เจ้าอย่าได้กลังเกรงย้านผ้าห่มคลุมหัว
ให้ผัวนางนอนอยู่สบายหายฮ้อน นางจงนอนลงถ้อนดอมผัวกลั้วกลิ่น
ให้ผินหน้ามาบีบคั้นขาเส้นนวดเอ็น เจ้าเป็นผู้ฮู้ดูหล่ำดอมผัว
ให้เข้าครัวหาอาหารข้าวปลาวางตั้ง กับทั้งขั้นน้ำพร้อมวางตั้งจั่งคือ
ผ้าเซ็ดมือพร้อมบรบานทุกสิ่ง อันว่ากินข้าวนั้นอย่าได้เฮ็ดมูมมาม
นิ้วมืองามของเจ้าอย่าฟั่งงมกินต่อน บ่วงและซ้อนตักแล้วค่อยกิน
ยามเมื่อกินข้าวให้ผัวลงมือกินก่อน ยามซินอนให้ไหว้ผัวแล้วจึงนอน
ปรนนิบัติได้จั่งซี้ซิลุลาภได้เงินแก้วมั่งมูล คันว่าผัวหากเดินดั้นมาแต่ทางไกล
ขอให้นางฮีบฮับต้อนเตรียมท่าผ่อผัว อย่าได้ทำคือบ้าผัวมาบ่อยากเบิ่ง
ผัวมาฮอดบ้านอย่าเฮ็ดบึ้งตึงสีหน้าบ่บาน ผัวซิพาลหาเรื่องคำแข็งโกรธด่า
ห่าว่าเป็นแม่ฮ้างปานเสียแก้วมืดมัว ตนตัวน้องซิเสียศรีหมองหม่น
เพราะคนซิเว้าชาวบ้านกล่าวขวัญ ขอให้นวลนางน้องตรองดูให้มันถี่
ให้นางยินดีดอมเผ่าผู้ผัวแก้วแห่งตน ให้นางนำไปเลี้ยงสนองคุณปู่ย่า
ให้ระวังปากอย่ากล้าใจพร้อมพร่ำกาย อย่าได้เป็นหญิงฮ้ายเกเรหลงเพศ
ปากกล่าวต้านสูงพ้นลื่นคน มันซิผิดหูเฒ่าสองคนปู่ย่า
ทั้งมวลพี่น้องลุงป้าฝ่ายผัว ขอให้นางฮักยิ่งล่ำผัวแก้วแห่งตน
ผัวหากขวนขวายเลี้ยงแลงงายซู่ค่ำนางเอย คำปากหวานจ้อยๆนำผัวแก้วซู้วัน
ขอให้พันธนังติดอย่าหน่ายซังแหนงเว้น อันหนึ่งขึ้นขั้นไดอย่าเอาตีนทึบ
อย่าได้สืบความเพิ่นมาจา ตาบ่เห็นอย่าได้เว้าว่าแน่
ขอให้เจ้าเว้าแต่ในทางที่ดี เขาบ่มีความผิดอย่าได้ป้อยด่า
อย่าอวดอ้างตีนถีบตีนทำ ในคำสอนห้ามไว้หลายวาท
อย่าได้กวาดเฮือนเย้ายามกลางค่ำกลางคืน อย่าเอาฟืนจี่หัวก้อนเส้า
อย่ากินข้าวเขาะเช้าเขาะแลง อย่ากินแกงผักที่ติดก้นขี้หม้อ
ไม้ค่อล่ออย่าได้เอามาหนุ่น อย่ากินปูนเขาะก้นขี้เถ้า
อย่าได้คัวเอาเสื้อเช็ดปาก อย่าตากผ้าไว้เทิงหลังคา
ยามซินอนให้ภาวนายกมือไหว้พระ อย่าได้เลอะละเอาอาหารเก่ามาให้ผัวกิน
อย่ายินดีนอนสูงกว่าผัวของเจ้า เก็บของเข้าเหมิดแล้วจั่งนอน
เถิงตอนยามเช้าให้เตรียมขันน้ำขันท่า ทั้งผ้าเช็ดหน้าเตรียมไว้อย่าให้ถาม
เป็นหญิงนี้ยามเมื่อห่วนๆก้องกลองตีใกล้ซิฮุ่ง ให้ฮีบลุกนึ่งข้าวดาไว้ใส่จั่งหัน
ลุกมาหาไต้คีไฟให้ค่อยย่อง มีเงินทองให้ทำบุญสร้างศิลทานเช้าค่ำ
บุญซิซ่วยนำให้ลุลาภได้สุขถ้วนซุ่ยาม ธรรมดาคนนี้ควรไปมาหาสู่
ถามข่าวมวลพี่น้องวงศ์เชื้อชาติตน ยามขัดสนหรือไข้เจ็บเป็นเอ็นอุ่น
เจือจุนญาติพี่น้องหายฮ้อนเพิ่งเย็น ฯ
น้ำใจของเมีย
เมียหากลุกแต่เช้าตื่นก่อนนอนหลัง ฟังคำสอนแห่งผัวบ่ล่วงเกินความเว้า
เถิงเวลากินข้าวให้ผัวแพงกินก่อน เถิงวันศีลวันพระให้สมมาลาโทษ
ให้นางคารวะแก้วผัวแพงทุกเช้าค่ำ อย่าได้คึดหล่วงล้ำใจซื่อสุจริต
ยามผัวไปไสมาฮับของมาต้อน เถิงเวลาแลงเซ้าซ่อยพันพลูจีบหมาก
หากมีญาติพี่น้องสองฝ่ายให้ถนอม มีของกินคาวหวานให้ส่งแลงงายเซ้า
กกก่อเหง่าวงศ์สกุลโคตรย่า ให้บูชาอ่อนน้อมถนอมไว้อย่าแหน่ง
ให้นางพาเผิ่นสร้างบารมีเกื้อก่อ ตักบาตรตั้งแต่เซ้ากลางเว็นซ้ำส่งเพล
อันนี้เป็นดั่งข้าวต้มยามเมื่อเฮาตาย สิได้ใส่ถงพายเมื่อลุนบุญค้ำ
เป็นการสอนในการครองเรือนให้มีความสุขที่เป็นข้อปฏิบัติสำหรับสามีภรรยาที่ต้องมีความรักใคร่ต่อกัน การประพฤติหลักของอีตผัวคองเมียนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะธรรมดาทัศนะคติของคนสองคนที่มาเป็นคู่ครองกันนั้นย่อมแตกต่างกันไปตามอุปนิสัยบางคนแข็งกระด้างบ้างคนอ่อนน้อม ดังนั้นปราชญ์อีสานจึงสอนว่าการเป็นสามีภรรยากันนั้นมันง่ายแต่จะครองรักอย่างไรจึงจะมีความสุขได้ ตามความเชื่อของคนไทยโบราณสอนว่าสามีเป็นช้างเท้าหน้าภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง เพราะสมัยโบราณนั้นผู้หญิงก็มีความเชื่อเช่นนั้นเป็นทุนอยู่เดิมเหมือนกันดังจะเห็นได้จากวรรณกรรมของอีสานทุกเรื่องจะอบรมสั่งสอนลูกหญิงให้เชื่อฟังผู้เป็นสามีแต่ฝ่ายเดียว อาจเป็นด้วยเหตุก็ได้ที่ทำให้หญิงไทยชาวอีสานเป็นช้างเท้าหลังตลอดมา แต่ในภาวะทุกวันนี้ทัศนะให้เรื่องเหล่านี้เริ่มเสื่อมลงไปตามภาวะเศรษฐกิจและบ้านเมืองที่เจริญมากขึ้นสิทธิสตรีก็เสมอกับชายทุกประการ แต่ถึงกระนั้นก็ตามหญิงก็คือหญิง สุภาษิตอีสานจะสอนให้ผัวเมียได้รู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับสถานภาพของตน คือเมื่อเป็นสามีภรรยากันจะต้องรู้จักให้เกียรติกัน เคารพญาติทั้งสองฝ่าย ให้มีความขยันมั่นเพียรในการทำมาหากิน ให้รักเดียวใจเดียวชื่อสัตย์ต่อกัน ดังคำกลอนสุภาษิตโบราณอีสานสอนในเรื่องคองของสามีภรรยานี้ว่า
หน้าที่ของสามี ๕ สถานคือ
๑) ให้ผัวพาเมียสร้างนาสวนปลูกหว่าน พาเมียเป็นพ่อแม่บ้านครองเย้าให้อยู่ดี
๒) ให้วาจาเว้าแถลงนัวเว้าม่วน อย่าได้ซึกซากฮ่ายคำเข้มเสียดสี
๓) ให้เคารพชาติเชื้อสกุลฝ่ายทางเมีย นว่าญาติกาวงศ์วานทางฝ่ายเมียให้
๔) การละเล่นหวยโปเบี้ยถั่วทางนักเลง สุราพร่ำพร้อมอย่าวอนเว้าอ่าวหา
๕) สินสมสร้างศฤงคารทรัพย์สิ่ง มอบให้เมียเมี้ยนไว้ในย้าวจั่งแม่นคอง
หน้าที่ของภรรยา ๕ สถาน คือ
๑) กิจการบ้านให้ทางเมียเป็นใหญ่ ให้เมียเป็นแม่บ้านการสร้างซ่อยผัว
๒) ให้มีจาจาเว้าแถลงนัวเว้าม่วน อย่าได้ซึมซากฮ่ายคำเข้มเสียดสี
๓) ให้เมียเคารพชาติเชื้อสกุลฝ่ายทางผัว อันว่าญาติกาวงศ์วานทางฝ่ายผัวให้
ค่อยยำเกรงย้าน
๔) ให้ฮู้จักทำการเกื้อบริวารเว้าม้วน สงเคราะห์ญาติพี่น้องเสมอก้ำเกิ่งกัน
๕) สินสมสร้างศฤงคารทรัพย์สิ่ง ผัวมอบให้เมียฮู้ฮ่อมสงวน
ควรที่จับจ่ายซื่อของจำเป็นสมค่า อย่าได้จับจ่ายใช้หลายล้นสิ่งบ่ควร
คันแม่นทำถึกต้องคองผัวเมียโบราณแต่ง จักลุลาภได้ชยะโชคเจริญศรี
สถาพรพูนผลซู่อันโฮมเฮ้าจักงอกงาม เงยขึ้นอุดมผลสูงส่งเงินคำไหลหลั่งเข้า เจริญขึ้นมั่งมี บริบูรณ์ศรีสุขทุกข์บ่เวินมาใก้ล นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำสำหรับผู้เป็นสามีและภรรยาที่พึ่งยึดถือปฏิบัติดังคำกลอนโบราณสอนไว้ว่า
วัตรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นสามี คือ
ขอให้เจ้าตื่นเดิกไปไฮ่ก่อนกา ขอให้เจ้าตื่นเดิกไปนาก่อนไก่
ให้เจ้าไปจับฮั่วอ้อมบ่อนควายเลียม บ่าแบกเสียมทั้งไปยามส้อน
เลยเบิ่งต้อนเบิ่งหลี่เบิ่งไซ เห็นน้ำไหลคันนาให้ฮีบอัดเอาไว้
ปีใดแล้งย่อมได้กินข้าวปลา ให้เจ้ามีปัญญคึดหาเครื่องปลูก
ทั้งส้มสูกกล้วยอ้อยของเจ้าซู่ยาม ตามดอนนาปลูกพริกหมากเขือน้ำเต้า
ทั้งหมากพร้าวมี้ม่วงตาวตาล ส้มและหวานหมากพลูอย่าคร้าน
คันเจ้าอยู่บ้านให้เบิ่งเฮือนซาน เบิ่งสถานปักตูป่องเอี้ยม
ให้เจ้าเยี่ยมเบิ่งข้อง แห มอง ทั้งสุ่ม ของ ซุมนี้แพงไว้เฮ็ดกิน
ฝนตกรินฮำย้อยอย่าถอนกลัวขยาด เถิงซิตกสาดพังฮองเข้าใส่โองไห
คราดไถแอกให้หลาไนมีทุกสิ่ง ทั้งสวิงกำพั้นฟืมพร้อมใส่กระส่วย
ของหมู่นี้ซิซ่อยให้มีอยู่มีกิน ผัวให้ยินดีหาอย่าไลลาคร้าน
คันตื่นขึ้นเช้าให้เจ้าเลียบเบิ่งเฮือนตน ลางเทื่อโจรเอาของลักมาวางไว้
เจ้าอย่าให้ฮั่วแป่ม้างเป็นฮ่อมทลายลง มันจักเสียของเฮาบ่ปลูกฝังเสียเสี้ยง
ให้เจ้าเตื้องปลูกดอกซ้อนซอนดอกจำปา ยามอยากเอาบูชาง่ายดีบ่มีฮ้อน
ให้เจ้าปลูกต้นไม้ไว้ซ้นฮ่มแยงเงา ยามเมื่อเฮาตายปะย่อมมีคนย่อง
แม่นสกุณาเค้าบินมาจับอยู่ก็ดี บุญก็ย่อมได้คุณนั้นบ่อห่อนเสีย
อันหนึ่งให้เจ้าคึดค้าซื้อถึกขายแพง คึดล่ำแยงหาเงินใช้ง่าย
ขายหมากไม้แม่วัวโตควาย ทางใดซิรวยให้เจ้าคึดฮำดูเลิงถ้อน ฯลฯ
ข้อวัตรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นภรรยา
แนวแม่หญิงนี้บ่มีผัวซ้อนนอนนำก็บ่อุ่น แม่หญิงซิตั้งอยู่ได้เป็นใหญ่ใสสกุล
ก็เพราะคุณของผัวคว่ามาแปลงสร้าง แม่หญิงนี้ซิมีคนย้านนบนอบยำเกรงก็เพราะ
บุญของผัว
แม่หญิงซิมีคนล้อมบริวารแหนแห่ ก็ย้อนผัวแท้ๆอย่าจาอ้างว่าโต
ผัวหากโมโหฮ้ายใจไวเคียดง่าย ให้นางเอาดีเข้าใจเว้าอย่างแข็ง
อย่าได้แปลงความส้มขมในให้ผัวขื่น ให้เอาดีขื่นไว้ใจเจ้าให้อ่อนหวาน
อุปมาเปรียบได้ดั่งอ้อมันหากอ่อนตามลม ธรรมดาว่าอ้อลมมาบ่ห่อนโค่น
เพราะว่ามันบ่ตั้งขันสู่ต่อลม คือดังสมเสลานัอยสอยวอยงามยิ่ง
ก่อผัวซิฮักกล่อมกลิ้งแฝงผั้นบ่มาย เพราะนางเป็นคนดีได้ใจบุญสอนง่าย
บ่เป็นคนบาปฮ้ายใจบ้าด่าผัว มีแต่ทำโตน้อมถนอมผัวโอนอ่อน
บ่แสนงอนดีดดิ้นศีลห้าหมั่นถนอม หาแต่แนวมาล้อมศีลธรรมคำขอบ
เว้านอบน้อมต่อผัวนั้นซู่วัน อันนี้ชื่อว่าเป็นหญิงมั่นในคองพุทธบาท
เทวดากะซิย่องผิวเนื้อผ่องใส หัวใจเจ้าเป็นหญิงสมชื่อ
ถือคุณผัวขึ้นไว้เพียงแก้วหน่วยตา ธรรมดาคนนี้อับจนก็ตามซ่าง
ให้ถือคุณผัวขึ้นไว้เมื่อหน้าหากซิมีเจ้าเอย อันหนึ่งในนาถน้อยตื่นก่อนผัวตน
ให้ปรนนิบัติผัวบ่อนนอนหมอนมุ้ง ยามยุงบินเข้าสมเสลาให้เจ้าไล่
คันเดิกซอกไซ้ให้นอนใกล้หม่อผัว เจ้าอย่าได้กลังเกรงย้านผ้าห่มคลุมหัว
ให้ผัวนางนอนอยู่สบายหายฮ้อน นางจงนอนลงถ้อนดอมผัวกลั้วกลิ่น
ให้ผินหน้ามาบีบคั้นขาเส้นนวดเอ็น เจ้าเป็นผู้ฮู้ดูหล่ำดอมผัว
ให้เข้าครัวหาอาหารข้าวปลาวางตั้ง กับทั้งขั้นน้ำพร้อมวางตั้งจั่งคือ
ผ้าเซ็ดมือพร้อมบรบานทุกสิ่ง อันว่ากินข้าวนั้นอย่าได้เฮ็ดมูมมาม
นิ้วมืองามของเจ้าอย่าฟั่งงมกินต่อน บ่วงและซ้อนตักแล้วค่อยกิน
ยามเมื่อกินข้าวให้ผัวลงมือกินก่อน ยามซินอนให้ไหว้ผัวแล้วจึงนอน
ปรนนิบัติได้จั่งซี้ซิลุลาภได้เงินแก้วมั่งมูล คันว่าผัวหากเดินดั้นมาแต่ทางไกล
ขอให้นางฮีบฮับต้อนเตรียมท่าผ่อผัว อย่าได้ทำคือบ้าผัวมาบ่อยากเบิ่ง
ผัวมาฮอดบ้านอย่าเฮ็ดบึ้งตึงสีหน้าบ่บาน ผัวซิพาลหาเรื่องคำแข็งโกรธด่า
ห่าว่าเป็นแม่ฮ้างปานเสียแก้วมืดมัว ตนตัวน้องซิเสียศรีหมองหม่น
เพราะคนซิเว้าชาวบ้านกล่าวขวัญ ขอให้นวลนางน้องตรองดูให้มันถี่
ให้นางยินดีดอมเผ่าผู้ผัวแก้วแห่งตน ให้นางนำไปเลี้ยงสนองคุณปู่ย่า
ให้ระวังปากอย่ากล้าใจพร้อมพร่ำกาย อย่าได้เป็นหญิงฮ้ายเกเรหลงเพศ
ปากกล่าวต้านสูงพ้นลื่นคน มันซิผิดหูเฒ่าสองคนปู่ย่า
ทั้งมวลพี่น้องลุงป้าฝ่ายผัว ขอให้นางฮักยิ่งล่ำผัวแก้วแห่งตน
ผัวหากขวนขวายเลี้ยงแลงงายซู่ค่ำนางเอย คำปากหวานจ้อยๆนำผัวแก้วซู้วัน
ขอให้พันธนังติดอย่าหน่ายซังแหนงเว้น อันหนึ่งขึ้นขั้นไดอย่าเอาตีนทึบ
อย่าได้สืบความเพิ่นมาจา ตาบ่เห็นอย่าได้เว้าว่าแน่
ขอให้เจ้าเว้าแต่ในทางที่ดี เขาบ่มีความผิดอย่าได้ป้อยด่า
อย่าอวดอ้างตีนถีบตีนทำ ในคำสอนห้ามไว้หลายวาท
อย่าได้กวาดเฮือนเย้ายามกลางค่ำกลางคืน อย่าเอาฟืนจี่หัวก้อนเส้า
อย่ากินข้าวเขาะเช้าเขาะแลง อย่ากินแกงผักที่ติดก้นขี้หม้อ
ไม้ค่อล่ออย่าได้เอามาหนุ่น อย่ากินปูนเขาะก้นขี้เถ้า
อย่าได้คัวเอาเสื้อเช็ดปาก อย่าตากผ้าไว้เทิงหลังคา
ยามซินอนให้ภาวนายกมือไหว้พระ อย่าได้เลอะละเอาอาหารเก่ามาให้ผัวกิน
อย่ายินดีนอนสูงกว่าผัวของเจ้า เก็บของเข้าเหมิดแล้วจั่งนอน
เถิงตอนยามเช้าให้เตรียมขันน้ำขันท่า ทั้งผ้าเช็ดหน้าเตรียมไว้อย่าให้ถาม
เป็นหญิงนี้ยามเมื่อห่วนๆก้องกลองตีใกล้ซิฮุ่ง ให้ฮีบลุกนึ่งข้าวดาไว้ใส่จั่งหัน
ลุกมาหาไต้คีไฟให้ค่อยย่อง มีเงินทองให้ทำบุญสร้างศิลทานเช้าค่ำ
บุญซิซ่วยนำให้ลุลาภได้สุขถ้วนซุ่ยาม ธรรมดาคนนี้ควรไปมาหาสู่
ถามข่าวมวลพี่น้องวงศ์เชื้อชาติตน ยามขัดสนหรือไข้เจ็บเป็นเอ็นอุ่น
เจือจุนญาติพี่น้องหายฮ้อนเพิ่งเย็น ฯ
น้ำใจของเมีย
เมียหากลุกแต่เช้าตื่นก่อนนอนหลัง ฟังคำสอนแห่งผัวบ่ล่วงเกินความเว้า
เถิงเวลากินข้าวให้ผัวแพงกินก่อน เถิงวันศีลวันพระให้สมมาลาโทษ
ให้นางคารวะแก้วผัวแพงทุกเช้าค่ำ อย่าได้คึดหล่วงล้ำใจซื่อสุจริต
ยามผัวไปไสมาฮับของมาต้อน เถิงเวลาแลงเซ้าซ่อยพันพลูจีบหมาก
หากมีญาติพี่น้องสองฝ่ายให้ถนอม มีของกินคาวหวานให้ส่งแลงงายเซ้า
กกก่อเหง่าวงศ์สกุลโคตรย่า ให้บูชาอ่อนน้อมถนอมไว้อย่าแหน่ง
ให้นางพาเผิ่นสร้างบารมีเกื้อก่อ ตักบาตรตั้งแต่เซ้ากลางเว็นซ้ำส่งเพล
อันนี้เป็นดั่งข้าวต้มยามเมื่อเฮาตาย สิได้ใส่ถงพายเมื่อลุนบุญค้ำ
๓) สู่ขวัญนาค
เป็นการพรรณนาถึงคุณพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมา ว่าท่านทั้งสองมีความทุกข์ยากลำบากอย่างไรกว่าจะคลอดบุตรออกมาและเลี้ยงลูกให้เติมโตจนอายุได้ ๒๐ ปี ครบบวชและแสดงให้เห็นว่าการสนองคุณบิดามารดานั้นมีอย่างไร และทัศนะทางพุทธปรัชญาในเรื่องการบวชมีอะไรหมอทำขวัญจะทำหน้าพรรณนาไว้ครบเพื่อเป็นการอบรมจิตใจของเจ้านาคให้ระลึกรู้คุณบุพการีของตน และสั่งสอนให้เจ้านาคหมั่นประพฤติปฏิบัติตนเองให้เป็นบุญเป็นกุศลเพื่อสนองคุณพ่อแม่ตน ตามลำดับดังนี้คือ
๑) สอนการเสียออกบวชของพระพุทธเจ้าดังนี้
หวังไปสวดบำเพ็ญศีล ดั่งพระอินทร์ถวายบาตร
พรหมราชยอพาน ถวายทานพระศรีธาตุ
คราวพระบาทออกไปบรรพชา อยู่ฝั่งน้ำอโนมา
พร้อมนายฉันท์และม้ามิ่ง ลายยอดแก้วปิ่งสิ่งพิมพา
ทั้งราหุลออกบวช ไปผนวชเป็นคนดี
เจ้ามีใจในธรรมอันล้ำเลิศ
๒) สอนให้รู้ว่าแม่ลำบากอย่างไรเมื่อคลอดลูก
ก่อนสิได้มาเกิดจากท้องมารดา ได้เลี้ยงมาเป็นอันยากเลี้ยงลำบากทุกค่ำคืน
แม่ทนฝืนหนักหน่วงท้อง นอนเก้าเดือนเฮ็ดล่องง่องอยู่ในครรภ์
แสนรำพันฮักห่อ ลูกของพ่อดั่ง ดวงตาออกจากท้องมารดาลูกเกิดมาเลิศแล้ว
๓) สอนให้รู้จักฮีตวัดครองสงฆ์
ให้เจ้าเตรียมตัวบวช ให้มาเข้าผนวชเป็นสงฆ์
ให้เจ้าลงมาสมสู่สังฆา ปฏิมายอดแก้วใจผ่องแผ้วเหลือหลาย
ยามเดือนหงายอย่าได้ล่วง ให้เจ้าห่วงครองธรรมให้เจ้านำครองปู่
ให้มาอยู่จำศีลให้มากินข้าวบาตร มานั่งอาสน์นำสงฆ์ให้มาลงในโบสถ์
ละความโกรธและโทสา ให้เจ้าได้เทศนาสอนสั่ง
เป็นเจ้านั่งเป็นสมภาร ให้ได้เป็นอาจารย์นักบวชให้ได้สวดปาฏิโมกข์
ให้เจ้าฝังในศาสน์ฉลาดเหลือคน มาเยอขวัญเอย
ให้ลือชาศาสนาของพระพุทธเจ้า ให้นาคเจ้ามีเดชะให้ชนะฝูงมาร
เป็นอาจารย์ผู้วิเศษละกิเลสหายหนี ดั่งอินทราธิราชเจ้าภูมินทร์
ทั้งแดนดินโอยอ่อนน้อย ทุกท่านพร้อมสาธุการ
ให้เจ้ามีความรู้หลื่นสมภาร ใหว้อาจารย์ทุกเมื่อเฮืองเฮื่อแก้วเงินคำ
บูชาธรรมอย่าได้ขาด ให้ฉลาดพระวินัย
ให้สดใสปานแว่น ให้ถึงแก่นคำสอน
คนสะออนชมซื่น ให้เจ้าหลื่นมนุษย์และเทวา
อย่าได้คาขัดข้อง ให้เจ้าท่องพระบาลีให้มีหวัง
ครองสืบสร้างธุระ๒ประการ เฮียนกรรมฐานให้ถี่ถ้วนครบสิ่งล้วน
๘ หมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ด้วยปัญญาเร็วพลันตรัสส่อง
สมองปล่องเร็วไว้ศีลสดใส่ บ่ประมาทมีอำนาจในศาสนา
อย่าโสกาโศกเศร้า ให้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าสืบพระศาสนา
๔) สอนให้รู้หลักสัจธรรม
เจ้าจักพลัดพรากห้องเคหา จักได้ลาปิตามารดาออกไปบวช
สร้างผนวชในศาสนา เจ้าก็คิดเห็นสังขารเป็นทุกขัง
อนิจจังอนัตตาบ่มั่น เที่ยงฮู้บิดเงี่ยงไปมา
เป็นอนิจจาบ่เลิกแล้ว บ่ได้ว่าเฒ่าแก่แลชรา
ฮู้บังเกิดโรคาแลพยาธิ บ่ได้ขาดจากมรณา136
เป็นการพรรณนาถึงคุณพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมา ว่าท่านทั้งสองมีความทุกข์ยากลำบากอย่างไรกว่าจะคลอดบุตรออกมาและเลี้ยงลูกให้เติมโตจนอายุได้ ๒๐ ปี ครบบวชและแสดงให้เห็นว่าการสนองคุณบิดามารดานั้นมีอย่างไร และทัศนะทางพุทธปรัชญาในเรื่องการบวชมีอะไรหมอทำขวัญจะทำหน้าพรรณนาไว้ครบเพื่อเป็นการอบรมจิตใจของเจ้านาคให้ระลึกรู้คุณบุพการีของตน และสั่งสอนให้เจ้านาคหมั่นประพฤติปฏิบัติตนเองให้เป็นบุญเป็นกุศลเพื่อสนองคุณพ่อแม่ตน ตามลำดับดังนี้คือ
๑) สอนการเสียออกบวชของพระพุทธเจ้าดังนี้
หวังไปสวดบำเพ็ญศีล ดั่งพระอินทร์ถวายบาตร
พรหมราชยอพาน ถวายทานพระศรีธาตุ
คราวพระบาทออกไปบรรพชา อยู่ฝั่งน้ำอโนมา
พร้อมนายฉันท์และม้ามิ่ง ลายยอดแก้วปิ่งสิ่งพิมพา
ทั้งราหุลออกบวช ไปผนวชเป็นคนดี
เจ้ามีใจในธรรมอันล้ำเลิศ
๒) สอนให้รู้ว่าแม่ลำบากอย่างไรเมื่อคลอดลูก
ก่อนสิได้มาเกิดจากท้องมารดา ได้เลี้ยงมาเป็นอันยากเลี้ยงลำบากทุกค่ำคืน
แม่ทนฝืนหนักหน่วงท้อง นอนเก้าเดือนเฮ็ดล่องง่องอยู่ในครรภ์
แสนรำพันฮักห่อ ลูกของพ่อดั่ง ดวงตาออกจากท้องมารดาลูกเกิดมาเลิศแล้ว
๓) สอนให้รู้จักฮีตวัดครองสงฆ์
ให้เจ้าเตรียมตัวบวช ให้มาเข้าผนวชเป็นสงฆ์
ให้เจ้าลงมาสมสู่สังฆา ปฏิมายอดแก้วใจผ่องแผ้วเหลือหลาย
ยามเดือนหงายอย่าได้ล่วง ให้เจ้าห่วงครองธรรมให้เจ้านำครองปู่
ให้มาอยู่จำศีลให้มากินข้าวบาตร มานั่งอาสน์นำสงฆ์ให้มาลงในโบสถ์
ละความโกรธและโทสา ให้เจ้าได้เทศนาสอนสั่ง
เป็นเจ้านั่งเป็นสมภาร ให้ได้เป็นอาจารย์นักบวชให้ได้สวดปาฏิโมกข์
ให้เจ้าฝังในศาสน์ฉลาดเหลือคน มาเยอขวัญเอย
ให้ลือชาศาสนาของพระพุทธเจ้า ให้นาคเจ้ามีเดชะให้ชนะฝูงมาร
เป็นอาจารย์ผู้วิเศษละกิเลสหายหนี ดั่งอินทราธิราชเจ้าภูมินทร์
ทั้งแดนดินโอยอ่อนน้อย ทุกท่านพร้อมสาธุการ
ให้เจ้ามีความรู้หลื่นสมภาร ใหว้อาจารย์ทุกเมื่อเฮืองเฮื่อแก้วเงินคำ
บูชาธรรมอย่าได้ขาด ให้ฉลาดพระวินัย
ให้สดใสปานแว่น ให้ถึงแก่นคำสอน
คนสะออนชมซื่น ให้เจ้าหลื่นมนุษย์และเทวา
อย่าได้คาขัดข้อง ให้เจ้าท่องพระบาลีให้มีหวัง
ครองสืบสร้างธุระ๒ประการ เฮียนกรรมฐานให้ถี่ถ้วนครบสิ่งล้วน
๘ หมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ด้วยปัญญาเร็วพลันตรัสส่อง
สมองปล่องเร็วไว้ศีลสดใส่ บ่ประมาทมีอำนาจในศาสนา
อย่าโสกาโศกเศร้า ให้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าสืบพระศาสนา
๔) สอนให้รู้หลักสัจธรรม
เจ้าจักพลัดพรากห้องเคหา จักได้ลาปิตามารดาออกไปบวช
สร้างผนวชในศาสนา เจ้าก็คิดเห็นสังขารเป็นทุกขัง
อนิจจังอนัตตาบ่มั่น เที่ยงฮู้บิดเงี่ยงไปมา
เป็นอนิจจาบ่เลิกแล้ว บ่ได้ว่าเฒ่าแก่แลชรา
ฮู้บังเกิดโรคาแลพยาธิ บ่ได้ขาดจากมรณา136
ສູ່ຂວັນນາກ ເປັນຄຳສອນນາກ່ອນບວດ
๓) สู่ขวัญนาค
เป็นการพรรณนาถึงคุณพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมา ว่าท่านทั้งสองมีความทุกข์ยากลำบากอย่างไรกว่าจะคลอดบุตรออกมาและเลี้ยงลูกให้เติมโตจนอายุได้ ๒๐ ปี ครบบวชและแสดงให้เห็นว่าการสนองคุณบิดามารดานั้นมีอย่างไร และทัศนะทางพุทธปรัชญาในเรื่องการบวชมีอะไรหมอทำขวัญจะทำหน้าพรรณนาไว้ครบเพื่อเป็นการอบรมจิตใจของเจ้านาคให้ระลึกรู้คุณบุพการีของตน และสั่งสอนให้เจ้านาคหมั่นประพฤติปฏิบัติตนเองให้เป็นบุญเป็นกุศลเพื่อสนองคุณพ่อแม่ตน ตามลำดับดังนี้คือ
๑) สอนการเสียออกบวชของพระพุทธเจ้าดังนี้
หวังไปสวดบำเพ็ญศีล ดั่งพระอินทร์ถวายบาตร
พรหมราชยอพาน ถวายทานพระศรีธาตุ
คราวพระบาทออกไปบรรพชา อยู่ฝั่งน้ำอโนมา
พร้อมนายฉันท์และม้ามิ่ง ลายยอดแก้วปิ่งสิ่งพิมพา
ทั้งราหุลออกบวช ไปผนวชเป็นคนดี
เจ้ามีใจในธรรมอันล้ำเลิศ
๒) สอนให้รู้ว่าแม่ลำบากอย่างไรเมื่อคลอดลูก
ก่อนสิได้มาเกิดจากท้องมารดา ได้เลี้ยงมาเป็นอันยากเลี้ยงลำบากทุกค่ำคืน
แม่ทนฝืนหนักหน่วงท้อง นอนเก้าเดือนเฮ็ดล่องง่องอยู่ในครรภ์
แสนรำพันฮักห่อ ลูกของพ่อดั่ง ดวงตาออกจากท้องมารดาลูกเกิดมาเลิศแล้ว
๓) สอนให้รู้จักฮีตวัดครองสงฆ์
ให้เจ้าเตรียมตัวบวช ให้มาเข้าผนวชเป็นสงฆ์
ให้เจ้าลงมาสมสู่สังฆา ปฏิมายอดแก้วใจผ่องแผ้วเหลือหลาย
ยามเดือนหงายอย่าได้ล่วง ให้เจ้าห่วงครองธรรมให้เจ้านำครองปู่
ให้มาอยู่จำศีลให้มากินข้าวบาตร มานั่งอาสน์นำสงฆ์ให้มาลงในโบสถ์
ละความโกรธและโทสา ให้เจ้าได้เทศนาสอนสั่ง
เป็นเจ้านั่งเป็นสมภาร ให้ได้เป็นอาจารย์นักบวชให้ได้สวดปาฏิโมกข์
ให้เจ้าฝังในศาสน์ฉลาดเหลือคน มาเยอขวัญเอย
ให้ลือชาศาสนาของพระพุทธเจ้า ให้นาคเจ้ามีเดชะให้ชนะฝูงมาร
เป็นอาจารย์ผู้วิเศษละกิเลสหายหนี ดั่งอินทราธิราชเจ้าภูมินทร์
ทั้งแดนดินโอยอ่อนน้อย ทุกท่านพร้อมสาธุการ
ให้เจ้ามีความรู้หลื่นสมภาร ใหว้อาจารย์ทุกเมื่อเฮืองเฮื่อแก้วเงินคำ
บูชาธรรมอย่าได้ขาด ให้ฉลาดพระวินัย
ให้สดใสปานแว่น ให้ถึงแก่นคำสอน
คนสะออนชมซื่น ให้เจ้าหลื่นมนุษย์และเทวา
อย่าได้คาขัดข้อง ให้เจ้าท่องพระบาลีให้มีหวัง
ครองสืบสร้างธุระ๒ประการ เฮียนกรรมฐานให้ถี่ถ้วนครบสิ่งล้วน
๘ หมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ด้วยปัญญาเร็วพลันตรัสส่อง
สมองปล่องเร็วไว้ศีลสดใส่ บ่ประมาทมีอำนาจในศาสนา
อย่าโสกาโศกเศร้า ให้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าสืบพระศาสนา
๔) สอนให้รู้หลักสัจธรรม
เจ้าจักพลัดพรากห้องเคหา จักได้ลาปิตามารดาออกไปบวช
สร้างผนวชในศาสนา เจ้าก็คิดเห็นสังขารเป็นทุกขัง
อนิจจังอนัตตาบ่มั่น เที่ยงฮู้บิดเงี่ยงไปมา
เป็นอนิจจาบ่เลิกแล้ว บ่ได้ว่าเฒ่าแก่แลชรา
ฮู้บังเกิดโรคาแลพยาธิ บ่ได้ขาดจากมรณา136
เป็นการพรรณนาถึงคุณพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมา ว่าท่านทั้งสองมีความทุกข์ยากลำบากอย่างไรกว่าจะคลอดบุตรออกมาและเลี้ยงลูกให้เติมโตจนอายุได้ ๒๐ ปี ครบบวชและแสดงให้เห็นว่าการสนองคุณบิดามารดานั้นมีอย่างไร และทัศนะทางพุทธปรัชญาในเรื่องการบวชมีอะไรหมอทำขวัญจะทำหน้าพรรณนาไว้ครบเพื่อเป็นการอบรมจิตใจของเจ้านาคให้ระลึกรู้คุณบุพการีของตน และสั่งสอนให้เจ้านาคหมั่นประพฤติปฏิบัติตนเองให้เป็นบุญเป็นกุศลเพื่อสนองคุณพ่อแม่ตน ตามลำดับดังนี้คือ
๑) สอนการเสียออกบวชของพระพุทธเจ้าดังนี้
หวังไปสวดบำเพ็ญศีล ดั่งพระอินทร์ถวายบาตร
พรหมราชยอพาน ถวายทานพระศรีธาตุ
คราวพระบาทออกไปบรรพชา อยู่ฝั่งน้ำอโนมา
พร้อมนายฉันท์และม้ามิ่ง ลายยอดแก้วปิ่งสิ่งพิมพา
ทั้งราหุลออกบวช ไปผนวชเป็นคนดี
เจ้ามีใจในธรรมอันล้ำเลิศ
๒) สอนให้รู้ว่าแม่ลำบากอย่างไรเมื่อคลอดลูก
ก่อนสิได้มาเกิดจากท้องมารดา ได้เลี้ยงมาเป็นอันยากเลี้ยงลำบากทุกค่ำคืน
แม่ทนฝืนหนักหน่วงท้อง นอนเก้าเดือนเฮ็ดล่องง่องอยู่ในครรภ์
แสนรำพันฮักห่อ ลูกของพ่อดั่ง ดวงตาออกจากท้องมารดาลูกเกิดมาเลิศแล้ว
๓) สอนให้รู้จักฮีตวัดครองสงฆ์
ให้เจ้าเตรียมตัวบวช ให้มาเข้าผนวชเป็นสงฆ์
ให้เจ้าลงมาสมสู่สังฆา ปฏิมายอดแก้วใจผ่องแผ้วเหลือหลาย
ยามเดือนหงายอย่าได้ล่วง ให้เจ้าห่วงครองธรรมให้เจ้านำครองปู่
ให้มาอยู่จำศีลให้มากินข้าวบาตร มานั่งอาสน์นำสงฆ์ให้มาลงในโบสถ์
ละความโกรธและโทสา ให้เจ้าได้เทศนาสอนสั่ง
เป็นเจ้านั่งเป็นสมภาร ให้ได้เป็นอาจารย์นักบวชให้ได้สวดปาฏิโมกข์
ให้เจ้าฝังในศาสน์ฉลาดเหลือคน มาเยอขวัญเอย
ให้ลือชาศาสนาของพระพุทธเจ้า ให้นาคเจ้ามีเดชะให้ชนะฝูงมาร
เป็นอาจารย์ผู้วิเศษละกิเลสหายหนี ดั่งอินทราธิราชเจ้าภูมินทร์
ทั้งแดนดินโอยอ่อนน้อย ทุกท่านพร้อมสาธุการ
ให้เจ้ามีความรู้หลื่นสมภาร ใหว้อาจารย์ทุกเมื่อเฮืองเฮื่อแก้วเงินคำ
บูชาธรรมอย่าได้ขาด ให้ฉลาดพระวินัย
ให้สดใสปานแว่น ให้ถึงแก่นคำสอน
คนสะออนชมซื่น ให้เจ้าหลื่นมนุษย์และเทวา
อย่าได้คาขัดข้อง ให้เจ้าท่องพระบาลีให้มีหวัง
ครองสืบสร้างธุระ๒ประการ เฮียนกรรมฐานให้ถี่ถ้วนครบสิ่งล้วน
๘ หมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ด้วยปัญญาเร็วพลันตรัสส่อง
สมองปล่องเร็วไว้ศีลสดใส่ บ่ประมาทมีอำนาจในศาสนา
อย่าโสกาโศกเศร้า ให้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าสืบพระศาสนา
๔) สอนให้รู้หลักสัจธรรม
เจ้าจักพลัดพรากห้องเคหา จักได้ลาปิตามารดาออกไปบวช
สร้างผนวชในศาสนา เจ้าก็คิดเห็นสังขารเป็นทุกขัง
อนิจจังอนัตตาบ่มั่น เที่ยงฮู้บิดเงี่ยงไปมา
เป็นอนิจจาบ่เลิกแล้ว บ่ได้ว่าเฒ่าแก่แลชรา
ฮู้บังเกิดโรคาแลพยาธิ บ่ได้ขาดจากมรณา136
Subscribe to:
Posts (Atom)