Thursday, 4 August 2011

ຜຍາປຣັຊຍາຊີວິດ

ผญาภาษิตสะท้อนปรัชญาชีวิต
ຜຍາ ຄືປຣັຊຍາລາວ ສະທ້ອນຊີວິດ ຄືປັນຍາພາສິດລາວທີ່ເປັນມໍຣະດົກຕົກທອດຈາກບັນພະຊົນລາວທີ່ສ້າງສັນໄວ້ ລູກຫຼາຍຜູ້ເກິດໃໝ່ໃຫຍ່ລຸນ ໄດ້ເກັບກຳຮີບໂຮມໄວ້ ຮຽກວ່າ ປຣັຊຍາພາສິດ.
-----------
ຜຍາພາສິດ.
- ຜຍາພາສິດ ເປັນຄຳສອນສະທ້ອນເຖິຣະບົບສັງຄົມໃນອະດີດ ຫຼືອະນາຄົດທີ່ທຸກຄົນເນັ້ນໜັກເຖິງ ແລະຫາທາງປ້ອງກັນຄວາມເດືອດຮ້ອນ ແລະຄວາມເສື່ອໂຊມທາງສັງຄົມ ອັນຈະເກີດຂຶ້ນໃນພາຍພາກໜ້າ ທີ່ມະນຸດກຳລັງກ້າວເຂົ້າໄປຫາ ແລະຜະເຊີນຢູ່, ເປັນເວລາເກືອບສະຕະວັດ ຊາວອາຊີ ກໍຄືຊາວລາວເຮົາ ກຳລັງເດີນຕາມເສັ້ນທາງຣະບົບຣັດຖະສາດແບບຕາເວັນຕົກ ອັນທີ່ເຂົາຮຽກວ່າ ເສຣີນິຍົມ ຫຼືສັງຄົມເປີດ, ແນວຄິດແບບນີ້ ໄດ້ຄອບງຳແນວຄິດທາງຣັດຖະສາດຂອງຊາດໄປຢ່າງໜ້າເສັຍດາຍ ນັກຣັດຖະສາດລາວຫຼາຍທ່ານອາດຈະມອງກາຍ ປຣັຊຍາຊີວິດລາວ ໂດຍທີ່ບໍ່ຮູ້ວ່ານັ້ນ ຄືພື້ນຖານທາງຣັດຖະສາດທີ່ສຳຄັນ ເຊິ່ງລາວເຮົາໃຊ້ປົກຄອງປະເທດລ້ານຊ້າງທີ່ກວ້າງໃຫຍ່ມາຢ່າງໝັ້ນ ຄົງຮອດ 4-500 ປີ, ຜຍາພາສິດ ຄືປຣັຊຍາຊິວິດ ທີ່ສະທ້ອນການດຳເນີນຊີວິດຂອງຜູ້ຄົນໃນສັງຄົມລາວໃນໄລຍະໜຶ່ງ ສັງຄົມຊົນນະບົດບາງສັງຄົມ ເມື່ອ 20 ກວ່າປີຜ່ານມາອາດຊິຍັງໃຊ້ຢູ່ແຕ່ດຽວນີ້ຂາດຫາຍໄປ ເພາະລາວກຳລັງກ້າວເດີນເຂົ້າສູ່ສັງຄົມບໍຣິໂພກນິຍົມ.
1.1. ສະທ້ອນພາບສັງຄົມ:
- ລັກສະນະທາງສັງຄົມລາວນັ້ນ ຍ່ອມມິວີຖີຊີວິດຂອງຕົນເອງອັນເປັນສັງຄົມມະຫາພາກຂອງຊາວລ້ານຊ້າງ, ສັງຄົມຂອງຊາວລ້ານຊ້າງແຕ່ລະ ທ້ອງຖິ່ນກໍຍ່ອມມີວິຖີຊີວິດຂອງຕົນເອງ, ສັງຄົມລາວກໍເຊັ່ນດຽວກັບສັງຄົມໂລກ ຍ່ອມຂຶ້ນກັບອາຊີບ ແລະການດຳຣົງຊີວິດ ກ່າວຄື ການລ່າສັດ, ສັງຄົມກະເສດປູກຝັງ ເຮັດໄຮ່ ໃສ່ນາ ລ້ຽງສັດ, ສັງຄົມຊົນເຜົ່າ, ເຈົ້າກົກເຈົ້າເລົ່າ ເຊິ່ງແຕ່ລະສັງຄົມຍ່ອມມີຣະບົບເສດຖະກິດ ການເມືອງ ແລະວັດທະນະທັມທີ່ຕ່າງກັນ ຜົນສະທ້ອນອອກມາກ ເຜັນວິຖີຊີວິດຕາມໃນຍະແຫ່ງສຸພາສິດຂອງຊາວລ້ານຊ້າງທີ່ຂະຈາຍອອກມາຈາກ ສັງຄົມຄອບຄົວ ຊຸມຊົນ ແລະສັງຄົມລວມຂອງຊາດ.
- ການດຳເນີນຊີວິດ ຢູ່ຮ່ວມດັນໃນສັງຄົມຂອງມະນຸດຈຳເປັນຕ້ອງມີກົດເກນ ເປັນຕົວຊີ້ທາງໃຫ້ສະມາຊິກຂອງສັງຄົມດຳເນີນໄປຕາມຄັນລອງ ທີ່ສັງຄົມຕ້ອງການ ເຄື່ອງມີໃນການຊີ້ທາງດັ່ງກ່າວ ຈຶ່ງຖືກກຳນົດຂຶ້ນໃນຮູບແບບບັນທັດຖານທາງສັງຄົມ ຄ່ານິຍົມທີ່ໄດ້ເກີດຂຶ້ນຈາກບຸກຄົນ ກຸ່ມຄົນ ແລ້ວຖ່າຍທອດມາ ວ່າເຮົາມີການຕັດສິນທີ່ຈະເລືອກແນວທາງໃນການປະຕິບັດຂອງຕົນຕາມປັດເຈກຊົນ ຊາວລາວເຮົາໃຫ້ຄວາມສຳ ຄັນກັບຄຳຖາມທີ່ວ່າ ເຮົາຄວນຈະເລືອກການມີຊີວິດຢູ້ຢ່າງໃດ ? และควรทำอย่างไร และควรเว้นอะไร สิ่งเหล่านี้ล้วนมีอย่างละเอียดตั้งแต่เรื่องของมารยาท การเลือกคบคนอย่างไรจึงจะดี และควรเลือกคนอย่างไรมาเป็นคู่ชีวิตของตนเอง และจะปฏิบัติต่อคนประเภทต่างๆอย่างไร เช่น กับพ่อแม่ พ่อตาแม่ยาย ลูกเขย ลูกสะใภ้ และต่อพระสงฆ์ ควรจะวางตนอย่างไร เป็นหน้าที่ของจริยธรรมจะชี้บอกทางให้ และสังคมชาวอีสานยังมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือ เป็นชุมชุนที่ยึดถือระบบญาติมิตรมาก เพราะความจำเป็นทางสังคมก็ดี ทางสิ่งแวดล้อมก็ดีล้วนแต่เป็นปัจจัยเกื้อกูลกันและกันให้ชาวอีสานต้องทำอย่างนั้น และชาวอีสานชอบแสวงหาความสงบสันติทางสังคม ดังจะเห็นอิทธิพลของสุภาษิตอีสานซึ่งเท่าที่พบจากวรรณกรรมคำสอนต่างๆพอประมวลจริยธรรมของบุคคลต่างได้ ๖ ประการคือ
๑ ) บิดามารดา
พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณต่อลูกๆสุดจะพรรณนา และรักลูกยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าจะเปรียบก็ประดุจดวงตาดวงใจก็ไม่ผิด พ่อแม่ทุกคนย่อมตั้งอยู่ในคลองธรรมและปฏิบัติต่อลูกหลาน ในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ลูก อุตสาห์เลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนโต ให้ลูกได้ศึกษาเล่าเรียนความรู้ซึ่งจะช่วยให้ลูกมีสติปัญญาแนะนำเกี่ยวกับการอาชีพ สำหรับลูกผู้ชายเมื่อมีอายุครบบวชพ่อแม่ก็จัดการบวชให้ พ่อแม่ย่อมเอื้ออาทรรักและห่วงใยลูก สิ่งใดไม่ดีพ่อแม่ก็แนะนำห้ามปราม มิให้กระทำชั่วพยายามให้ตั้งอยู่ในคุณความดี จัดหาคู่ครองที่สมควรหรือจัดแต่งงานให้ตามจารีตประเพณีและหากมีทรัพย์ก็มอบให้ลูกครอบครองแทนตนต่อไป พ่อแม่มีพระคุณต่อลูกถึงจะด่าลูกๆบ้างก็เพื่อความหวังดีของท่าน ดังคำกลอนสุภาษิตว่า
พ่อแม่ฮักลูกเต้าเสมอดังดวงตา เถิงซิมีคำจาด่าเซิงคำฮ้าย
เผิ่นหากหมายดีด้วยดอมเฮาจั่งฮ้ายด่า ความปากว่าบ่แพ้หัวใจนั้นหากบ่นำ
ยามเฮามีความต้องเจ็บเป็นไข้ป่วย เผิ่นบ่ป๋าปล่อยถิ่มเฮาไว้ถ่อเม็ดงา
มีแต่แหล่นซ้วนหน้าหาของกินมาฝาก ยากนำลูกน้อยๆความเว้าจ่มบ่เคย 5 นุ่ม
ภาคอีสานมีระบบเครือญาติที่สูงซึ่งจะพบว่าบรรดาลุง ป้า น้า อา และพี่ นับเป็นญาติชั้นสูงอาวุโส ควรรู้วางตนให้สมกับเป็นที่เคารพนับถือของลูกหลานและญาติพี่น้อง มีเมตตาธรรมไม่ถือตัวโอ้อวดมีอะไรก็ช่วยสงเคราะห์เป็นที่พึ่งพาอาศัยของญาติพี่น้องลูกหลานได้ หากลูกหลานและญาติพี่น้องถูกใคร่รังแกก็อาศัยเป็นที่พึ่งพากันในยามทุกข์ยากได้ คุณปู่ ย่า ย่อมเป็นที่รักและเคารพของลูกหลาน เปรียบประดุจด้วยเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานดังคำโบราณอีสานว่า ดังคำโบราณว่า
ฝูงเฮาผู้เป็นลุงป้าอาวอาน้าพี่ ให้มีใจฮักพี่น้องวงศ์เชื้อลูกหลาน
คนใดมีทุกข์ฮ้อนอ้อนแอ่วมาหา ซ่อยอาสาเป่าปัดให้ส่วงคลายหายเศร้า
การครองย้าว เอาศีลธรรมเป็นที่เพิ่ง ตามเปิงฮีตบ้านปางเค้าเก่ามา
ไผมีงานหนักหนาให้หาทางซดซ่อย บรรดาลูกหลานส่ำน้อยดีใจล้ำอุ่นทรวงฯ
อันปู่ย่านั้นหากฮักลูกหลานดั่งเดียวหลาย ทั้งตายายก็ฮักลูกหลานหลายดั่งเดียวกันนั้น
ลูกหลานเกิดทุกข์ยากไฮ้ได้เพิ่งใบบุญ คุณของปู่ย่าตายายหากมีหลายเหลือล้น
ควรที่ลูกหลานทุกคนไหว้บูชายอยิ่ง เปรียบเป็นสิ่งสูงยกไว้ถวยเจ้ายอดคุณ
บุญเฮาหลายแท้ที่มีตายายปู่ย่า เพราะว่าเพิ่นเป็นฮ่มให้เฮาซ้นอยู่เย็น ฯ
แม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่ญาติตนเองก็ยังมีความนับถือกัน ซึ่งจะมีทั้งคนที่มีคุณธรรมในชุมชนของตนเองก็ยังได้รับการเคารพ โดยถือกันว่าเป็นแนวทางของการปฏิบัติต่อท่านผู้สูงอายุ ธรรมเนียมของชาวอีสานมักจะเคารพผู้อาวุโสในด้านต่างๆอาจเป็นด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ และชาติวุฒิเป็นต้น ดังนั้นคนเฒ่าคนแก่จะควรเป็นแบบอย่างให้แก่ลูกหลานทั้งในด้ายความประพฤติและด้านจิตใจ ดังคำโบราณอีสานว่า
เป็นผู้เฒ่าให้ฮักลูกหลานเหลน เป็นขุนกวนให้ฮักการเมืองบ้าน
สมสถานเบื้องเฮิงฮมย์ถ้วนทั่ว อย่าได้ฮักผิ่งพุ้นซังพี้บ่ดี
อันว่าเฒ่าบังเกิดสามขานั้นฤา หมายถึงคนวัยสูงผู้ควรถือหน้า
ย้อนว่าเอาตนเข้าถือศีลฟังเทศน์ เถิงกับสักค้อนเท้าไปด้วยใส่ใจ
ชาติที่เฒ่าบ่ฮู้วัตรคลองธรรม ปาปังแถมซู่วันเวียนมื้อ
เถิงว่าวัยชราเฒ่าหัวข่าวแข้วหล่อน อายุฮ้อนขวบเข้าบ่มิผู้นับถือ แท้แหล่ว
๓.๒.๓.๓. สามีและภรรยา
ภรรยาคือชื่อว่าเป็นช้างท้าวหลังธรรมเนียมชาวอีสานเรียกว่าธรรมเนียมของภรรย169 เป็นการสอนในการครองเรือนให้มีความสุขที่เป็นข้อปฏิบัติสำหรับสามีภรรยาที่ต้องมีความรักใคร่ต่อกัน การประพฤติหลักของอีตผัวคองเมียนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะธรรมดาทัศนะคติของคนสองคนที่มาเป็นคู่ครองกันนั้นย่อมแตกต่างกันไปตามอุปนิสัยบางคนแข็งกระด้างบ้างคนอ่อนน้อม ดังนั้นปราชญ์อีสานจึงสอนว่าการเป็นสามีภรรยากันนั้นมันง่ายแต่จะครองรักอย่างไรจึงจะมีความสุขได้ ตามความเชื่อของคนไทยโบราณสอนว่าสามีเป็นช้างเท้าหน้าภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง เพราะสมัยโบราณนั้นผู้หญิงก็มีความเชื่อเช่นนั้นเป็นทุนอยู่เดิมเหมือนกันดังจะเห็นได้จากวรรณกรรมของอีสานทุกเรื่องจะอบรมสั่งสอนลูกหญิงให้เชื่อฟังผู้เป็นสามีแต่ฝ่ายเดียว อาจเป็นด้วยเหตุก็ได้ที่ทำให้หญิงไทยชาวอีสานเป็นช้างเท้าหลังตลอดมา แต่ในภาวะทุกวันนี้ทัศนะให้เรื่องเหล่านี้เริ่มเสื่อมลงไปตามภาวะเศรษฐกิจและบ้านเมืองที่เจริญมากขึ้นสิทธิสตรีก็เสมอกับชายทุกประการ แต่ถึงกระนั้นก็ตามหญิงก็คือหญิง สุภาษิตอีสานจะสอนให้ผัวเมียได้รู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับสถานภาพของตน คือเมื่อเป็นสามีภรรยากันจะต้องรู้จักให้เกียรติกัน เคารพญาติทั้งสองฝ่าย ให้มีความขยันมั่นเพียรในการทำมาหากิน ให้รักเดียวใจเดียวชื่อสัตย์ต่อกัน ดังคำกลอนสุภาษิตโบราณอีสานสอนในเรื่องหน้าที่ของภรรยาไว้ ๕ ประการว่า
๑) กิจการบ้านให้ทางเมียเป็นใหญ่ให้เมียเป็นแม่บ้านการสร้างซ่อยผัว
๒) ให้มีจาจาเว้าแถลงนัวเว้าม่วนอย่าได้ซึมซากฮ่ายคำเข้มเสียดสี
๓)ให้เมียเคารพชาติเชื้อสกุลฝ่ายทางผัวอันว่าญาติกาวงศ์วานทางฝ่ายผัวให้ค่อยยำเกรงย้าน
๔) ให้ฮู้จักทำการเกื้อบริวารเว้าม้วนสงเคราะห์ญาติพี่น้องเสมอก้ำเกิ่งกัน
๕) สินสมสร้างศฤงคารทรัพย์สิ่งผัวมอบให้เมียฮู้ฮ่อมสงวน
แม่ศรีเรือนตามที่ปรากฏในคำสอนชาวอีสานนั้นยังมีอีกนัยหนึ่งคือการใช้จ่ายทรัพย์ที่สามีหามาได้นั้นจะต้องคิดถึงความคุ่มค่าของสิ่งที่จะชื่อให้เป็นประโยชน์ต่อครอบครัวมากที่สุด ดังคำสอนที่ว่า
ควรที่จับจ่ายซื่อของจำเป็นสมค่าอย่าได้จับจ่ายใช้หลายล้นสิ่งบ่ควร
คันแม่นทำถึกต้องคองผัวเมียโบราณแต่งจักลุลาภได้ชยะโชคเจริญศรี
สถาพรพูนผลซู่อันโฮมเฮ้าจักงอกงามเงยขึ้นอุดมผลสูงส่งเงินคำไหลหลั่งเข้า
เจริญขึ้นมั่งมีบริบูรณ์ศรีสุขทุกข์บ่เวินมาใก้ล
นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำสำหรับผู้เป็นศรีภรรยาที่พึ่งยึดถือปฏิบัติตนในการครองเรือน การจะครองเรือนให้มีความผาสุขได้นั้นจะต้องมีทั้งจรรยามารยาทอันดีงามต่างๆเข้ามาประกอบด้วยคือประกอบพร้อมทั้งทางกาย วาจา และน้ำใจของภรรยา ซึ่งจะพบมากในคำกลอนโบราณของอีสานที่มักจะสั่งสอนลูกสาวของตนที่จะแยกครอบครัวออกไปจากพ่อแม่ ซึ่งชาวอีสานเรียกว่าข้อวัตรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นภรรยา ดังคำสอนนี้ คือ
แนวแม่หญิงนี้บ่มีผัวซ้อนนอนนำก็บ่อุ่นแม่หญิงซิตั้งอยู่ได้เป็นใหญ่ใสสกุลก็เพราะคุณของผัวคว่ามาแปลงสร้างแม่หญิงนี้ซิมีคนย้านนบนอบยำเกรงก็เพราะบุญของผัว แม่หญิงซิมีคนล้อมบริวารแหนแห่ ก็ย้อนผัวแท้ๆอย่าจาอ้างว่าโต ผัวหากโมโหฮ้ายใจไวเคียดง่าย ให้นางเอาดีเข้าใจเว้าอย่างแข็ง อย่าได้แปลงความส้มขมในให้ผัวขื่น ให้เอาดีขื่นไว้ใจเจ้าให้อ่อนหวาน อุปมาเปรียบได้ดั่งอ้อมันหากอ่อนตามลม ธรรมดาว่าอ้อลมมาบ่ห่อนโค่น เพราะว่ามันบ่ตั้งขันสู่ต่อลม คือดังสมเสลานัอยสอยวอยงามยิ่ง ก่อผัวซิฮักกล่อมกลิ้งแฝงผั้นบ่มาย เพราะนางเป็นคนดีได้ใจบุญสอนง่าย บ่เป็นคนบาปฮ้ายใจบ้าด่าผัว มีแต่ทำโตน้อมถนอมผัวโอนอ่อน บ่แสนงอนดีดดิ้นศีลห้าหมั่นถนอม หาแต่แนวมาล้อมศีลธรรมคำขอบ เว้านอบน้อมต่อผัวนั้นซู่วัน
นี้คือคุณสมบัติของสตรีชาวอีสานที่ปฏิบัติต่อสามีและบุคคลๆ ตลอดถึงมีความขยันและเอาใจใส่ในพระพุทธศาสนา และให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลและธรรมพร้อมทั้งเป็นผู้มีจิตใจอันเป็นบุญเป็นกุศล นี้คือกุลสตรีตามทรรศนะของคำสอนอีสาน จะพบว่าเป็นยอดหญิงอย่างแท้จริง ถ้าทำได้อย่างนี้
๑.สามี
๑) ให้ผัวพาเมียสร้างนาสวนปลูกหว่านพาเมียเป็นแม่บ้านครองเย้าให้อยู่ดี
๒) ให้วาจาเว้าแถลงนัวเว้าม่วนอย่าได้ซึกซากฮ่ายคำเข้มเสียดสี
๓) ให้เคารพชาติเชื้อสกุลฝ่ายทางเมีย
๔) การละเล่นหวยโปเบี้ยถั่วทางนักเลงสุราพร่ำพร้อมอย่าวอนเว้าอ่าวหา
๕) สินสมสร้างศฤงคารทรัพย์สินมอบให้เมียเมี้ยน(เก็บรักษา)ไว้ในย้าวจั่งแม่นคอง
(ให้สามีพาภรรยาทำไร่ทำนาปลูกผักและนำพาเมียเป็นแม่บ้านที่ ให้พูดจากันด้วยความไพเราะอย่าได้พูดจาเสียดสีกันเอง ให้เคารพตระกุลหรือญาติฝ่ายทางภรรยา และให้หลีกหนีทางฉิบหายคือการเล่นหวย ไฮ่โล โปถั่วกระทั้งนักเลงสุราอย่าได้เข้าใกล้มันเลย อีกทั้งทรัพย์สมบัติทั้งปวงที่หามาให้มอบให้ภรรยาเป็นผู้ดูแล) ดังนั้นวัตรปฏิบัติที่สามีหรือลูกผู้ชายคือทำนั้น คนโบราณอีสานมักสอนไว้ดังนี้คือ
ขอให้เจ้าตื่นเดิกไปไฮ่ก่อนกา ขอให้เจ้าตื่นเดิกไปนาก่อนไก่
ให้เจ้าไปจับฮั่วอ้อมบ่อนควายเลียม บ่าแบกเสียมทั้งไปยามส้อน
เลยเบิ่งต้อนเบิ่งหลี่เบิ่งไซ เห็นน้ำไหลคันนาให้ฮีบอัดเอาไว้
ปีใดแล้งย่อมได้กินข้าวปลา ให้เจ้ามีปัญญาคึดหาเครื่องปลูก
ทั้งส้มสูกกล้วยอ้อยของเจ้าซู่ยาม ตามดอนนาปลูกพริกหมากเขือน้ำเต้า
ทั้งหมากพร้าวมี้ม่วงตาล ส้มและหวานหมากพลูอย่าคร้าน
(ขอให้เจ้าตื่นแต่เช้าไปไร่ก่อนกา ขอให้เจ้าตื่นดึกไปนาก่อนไก่ ให้เจ้าไปทำรั่วล้อมไม่ให้ควายเข้าได้ทั้งบ่าเจ้าให้ถือเอาเสียมและไปกู้ต้อน(ที่ดักปลา) พร้อมทั้งดูต้อนและดูหลี่ ดูไซ เห็นน้ำไหลเข้าคันนาให้รีบปิดเอาไว้ ปีใดน้ำแล้งย่อมได้กินข้าวและปลา ให้เจ้ามีปัญญาคิดหาเครื่องปลูก ทั้งส้ม กล้วย อ้อยของเจ้าทุกเวลา ตามที่ตอนในนาให้ปลูกพริกและมะเขือและน้ำเต้า อีกทั้งมะพร้าว ขนุน มะม่วง และต้นตาล ทั้งเปรี้ยวและหวาน หมากพลูกอย่าเกลียดคร้าน) คำสอนนี้มุ่งเน้นให้ผู้ชายควรรู้จักขยันทำมาหากินเพื่อความมั่งคั่งของครอบครัว และยังสอนให้สามีควรรู้จักแสวงหาเครื่องมือในการประกอบอาชีพต่างๆ เช่น แห่ สุ่ม และเครื่องมือในการทำนา ดังคำสอนนี้คือ
คันเจ้าอยู่บ้านให้เบิ่งเฮือนซาน เบิ่งสถานปักตูป่องเอี้ยม
ให้เจ้าเยี่ยมเบิ่งข้อง แห มอง ทั้งสุ่ม ของซุมนี้แพงไว้เฮ็ดกิน
ฝนตกรินฮำย้อยอย่าถอนกลัวย่าน เถิงซิตกสาดพังฮองเข้าใส่โองไห
คาดไถแอกให้หลาไนมีทุกสิ่ง ทั้งสวิงกำพ้นฟืมพร้อมใส่กระส่วย
ของหมู่นี้ซิซ่อยให้มีอยู่มีกิน ผัวให้ยินดีหาอย่าไลลาค้าน
อันหนึ่งให้เจ้าค้าซื้อถึกขายแพง คึดล่ำแยงหาเงินใช้จ่าย
ขายหมากไม้แม่วัวโตควาย ทางใดซิรวยให้เจ้าคึดฮำดูเลิงถ้อนฯ
(ถ้าเจ้าอยู่บ้านให้ดูแลบ้านเรือนดูทุกอย่างทั้งประตูหน้าต่าง ให้เจ้าดูแลข้อง แห มอง ทั้งสุ่ม ของพวกนี้รักษาไว้ทำกิน เมื่อฝนตกรินอย่าเกรงกลัว ถ้าฝนตกมากให้รีบรองเอาไว้ใส่ตุ่ม ทั้งคาดไถแอก หลา ไน มีทุกอย่าง ทั้งสวิง กำพัน ฟืม กระส่วย (เครื่องอุปกรณ์ในการกอด้ายนำมาทอเป็นผ้า) สิ่งของเหล่านี้จะช่วยให้มีสิ่งของใช้ สามีให้ยินดีหามาอย่าได้ขี้เกลียด อีกอย่างหนึ่งให้เจ้าค้าขายด้วยการซื้อถูกขายแพง คิดให้ดีทางหาเงินมาใช้จ่าย มีขายผลไม้ วัว ควาย ทางไหนจะร่ำรวยให้เจ้าคิดพิจารณาให้รอบคอบ)
วัตรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นสามี คือ
ขอให้เจ้าตื่นเดิกไปไฮ่ก่อนกา ขอให้เจ้าตื่นเดิกไปนาก่อนไก่
ให้เจ้าไปจับฮั่วอ้อมบ่อนควายเลียม บ่าแบกเสียมทั้งไปยามส้อน
เลยเบิ่งต้อนเบิ่งหลี่เบิ่งไซ เห็นน้ำไหลคันนาให้ฮีบอัดเอาไว้
ปีใดแล้งย่อมได้กินข้าวปลา ให้เจ้ามีปัญญคึดหาเครื่องปลูก
ทั้งส้มสูกกล้วยอ้อยของเจ้าซู่ยาม ตามดอนนาปลูกพริกหมากเขือน้ำเต้า
ทั้งหมากพร้าวมี้ม่วงตาวตาล ส้มและหวานหมากพลูอย่าคร้าน

๓.๒.๓.๔. มิตรและสหาย
การจะมีจะมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้านั้นควรที่จะเลือกสรรหาแต่คนที่ดี เพื่อนำทางชีวิตของตนให้ไปในทางเจริงรุ่งเรืองและเว้นจากมิตรที่จะนำทางไปในทางเสื่อม นั้นคือความมีเพื่อนที่ดีควรเว้นเพื่อนที่เลว แม่แต่ในพุทธปรัชญาก็เน้นมากในเรื่องการเลือกคบกับบัณฑิต ดังคำผญาภาษิตอีสานว่า
อันหว่าบัณฑิตล้ำทรงธรรมทัดเที่ยง ก็หากหายากแท้ในพื้นแผ่นดินถ่านเอย
บาดหว่าคนซั่วฮ้ายหีนะโหดแนวพาล มันหากมีทั้งผองทั่วแผ่นดินแดนด้าว หน้า 31นุ่ม
ลักษณะทางร่างกายของคนก็มีส่วนสำคัญเช่นกันที่จะทำให้ทราบในเบื้องต้นว่าคนอย่างใดควรจะคบเป็นมิตรสหายได้ทรรศนะของปรัชญาอีสานได้กล่าวถึงนรลักษณ์ว่า “ตาบอดอย่าเอาฮ่วมเฮียน ตาเบียนอย่าเอาฮ่วมบ้าน ขี้คร้านอย่าเอาเป็นหมู่เป็นฝูง 1การคบคนเช่นใดย่อมจะแสดงพฤติกรรมไปตามบุคคลนั้น การสมาคมกับคนที่เป็นมิตรเทียมนั้นมักจะส่งผลในทางเสียหายมากกว่าดังสุภาษิตว่า “อย่าเกลือกกลั้วฝูงหมู่คนพาล มันสิพาเฮาตกต่ำตอยเป็นข้า2 การนับเอาสิ่งไม่ดีไปปูบนเรือนนั้นย่อมไม่งามเช่นเดียวกันกับการไม่จริงใจต่อเพื่อนก็ไม่เหมาะที่คบเช่นกัน ดังสุภาษิตว่า “เชื้อสาดคล้าอย่าได้ปูเฮือน คนตาเบือนอย่าเอาเป็นเพื่อนพ้อง มันสิเป็นล้องค้องคือเกี่ยวสองคม3 รูปแบบเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งสำหรับคนเพราะคนจะดีหรือเลวนั้นมีส่วนหนึ่งเกิดจากการเรียนแบบมากจากบุคคลอื่น ปรัชญาอีสานได้สอนให้รู้จักเลือกแบบที่ดีงามและเว้นตัวอย่างที่ไม่ดีเสีย ดังคำสุภาษิตว่า “คนใจทรามอย่าเอาเป็นแบบ คนใจแคบอย่าได้เป็นฝูง คนใจสูงจั่งย่างนำก้น4 กรรมเท่านั้นที่ส่งผลมาให้ชีวิตมนุษย์เรามีรูปร่างหน้าตาที่ดีงามหรือขี่เหร่ ไม่มีใครเลือกได้แต่บางอย่างนั้นเมื่อเราไม่มีก็ควรหาสิ่งที่ตนเองขาดไปมาเพิ่มเติมให้เติมได้ ถ้าญาติไม่มีก็ควรหาเพื่อนมาทดแทนญาติพี่น้องได้ ดังสุภาษิตว่า “ผมบ่หลายให้เติ่มซ้อง พี่น้องบ่หลายให้ตื่มเสี่ยว5 มิตรมีความสำคัญยิ่งสำหรับเป็นพื้นฐานของชีวิตมนุษย์เรา เพราะมนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคมจะต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ดังคำกลอนสอนว่า
อันนี้ขอให้หลาจื่อไว้จนกระดูกแขวนคอ อย่าได้วอวอเสียงลื่นคนทั้งหลาย
เห็นว่ามีสุขแล้วบ่เหลียวแลพวกเพื่อน คันแม่นสุขบ่ล้วนสิเหลียวหน้าเบิ่งไผ694

ຜຍາພາສິດ

ผญาภาษิต
เป็นคำสอนที่ให้คติธรรมอันลึกซึ้งแก่ชาวอีสานมาอย่างยาวนาน และเป็นคำสอนในลักษณะเปรียบเทียบ หรือให้ชี้ให้เห็นสัจจธรรมในการดำเนินชีวิต ผญาภาษิตอีสานมีรากฐานมาจากคำสอนในทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนสุภาษิตที่มีอิทพลต่อคำผญาภาษิตอีสานเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อม ไม่ได้สอนโดยทางตรง เมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม ผญาภาษิตนี้ส่วนมาจากคำสอนในหนังสือวรรณคดีเรื่องต่างๆ
สุภาษิตอีสานโดยภาพรวมจึงเกิดมาจากวรรณคดีทั้งทางศาสนาและประเพณีวัฒธรรมของชาวอีสานเป็นส่วนใหญ่ เพราะวรรณกรรมทางภาษาซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตน คือใช้วรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายเป็นสื่อในการสั่งสอนจริยธรรมตลอดถึงวิถีดำเนินชีวิต ตามความเชื่อและมีการตัดสินความดีความชั่วในสังคมด้วย ดังนั้นสุภาษิตอันเกิดจากวรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายจึงเป็นภาพสะท้อนถึงชีวิตคนและสังคมชาวอีสาน พอจะนำมากล่าวถึงมี ๔ ประการใหญ่ดังนี้ คือ
๒.๑.๒ ลักษณะของพุทธภาษิต
ลักษณะทั่วไปของพุทธศาสนสุภาษิตนั้นจัดแบ่งได้ ๒ ลักษณะ คือ ๑. ลักษณะทางฉันทลักษณ์ ๒. ลักษณะทางเนื้อหา
๑. ลักษณะทางฉันลักษณ์
เป็นคำร้อยกรองในภาษาบาลีเรียกว่า ฉันทลักษณะ เป็นคำประพันธ์ที่กำหนด ครุ ลหุ กำหนดจำนวนคำตามข้อบังคับของฉันท์แต่ละชนิด ฉันท์ ๑ บท เรียกว่า ๑ คาถา ฉันท์ ๑ คาถา มี ๔ บาท ฉันท์ ๑ บาทมี ๘ คำ ไม่เกิด ๑๑ คำ หรือ ๑๔ คำ ตามประเภทของฉันท์ นี้เป็นฉันท์ประเภทหนึ่งที่เรียนรู้และรู้จักกันเป็นอย่างดีในวงการภาษาบาลีในประเทศไทย ๖ ชนิด๕ คือ (๑ ) ปัฐยาวัตรฉันท์ (๒) อินทรวิเชียรฉันท์ (๓) อุเปนทรวิเชียรฉันท์ (๔) อินทรวงศ์ฉันท์ (๕) วังสัฏฐฉันท์ (๖) วสันตดิลกฉันท์
อีกนัยหนึ่งแบ่งตามลักษณะของวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ลักษณะเนื้อหาของพุทธภาษิต ผู้เชียวชาญทั้งหลายได้แบ่งเนื้อหาของสุภาษิตในพระพุทธศาสนาออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของรูปแบบคำสอนในพุทธศาสนาเรียกอีกอย่างว่า “นวังคสัตถุศาสตร์”๖ คือคำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ พุทธพจน์มีองค์ประกอบ ๙ อย่าง คือ
๑ ) สุตะ คือคำสั่งสอนที่เป็นพระสูตรและพระวินัย รวมทั้งคัมภีร์ทั้งสองด้วยโดยมีลักษณะเป็นสูตร ซึ่งประกอบไปด้วยระเบียบแบบแผนมีลำดับขั้นตอนต่างๆ อันมีข้อธรรมเป็นลักษณะคือ จากข้อหนึ่งถึงสิบข้อ
๒ ) เคยยะ คือ คำสอนที่เป็นลักษณะทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน ได้แก่พระสูตรที่มีคาถาทั้งหมด
๓ ) เวยยากรณะ (ไวยากรณ์) คือคำสอนเป็นแบบร้อยแก้วล้วนได้แก่พระอภิธรรมปิฏกทั้งหมด และพระสูตรที่ไม่มีคาถา
๔ ) คาถา คือ คำสอนแบบร้อยกรองล้วนๆ เช่น ธรรมบท, เถรคาถา, เถรีคาถา
๕ ) อุทาน คือ คำสอนที่เปล่งออกมาเป็นคำที่มีความหมายต่างๆตามสถานการณ์นั้นๆ เช่น สมัยเกิดความสังเวช , สมัยเกิดความปีติยินดีบ้าง ซึ่งเป็นพระคาถา ๘๒ สูตร
๖. ) อิติวุตตกะ เป็นเรื่อง อ้างอิง คือการยกมากล่าวอ้างของพระสังคีติกาจารย์ผู้รวบรวมโดยไม่บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้แก่ใคร ที่ไหนชื่อพระสูตรเหล่านี้มักขึ้นต้นด้วยคำว่า วุตตัง เหตัง ภควตา (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้) เหมือนกันหมด จึงเรียกว่า อิติวุตตกะ แบ่งเป็น ๔ นิบาตมีทั้งหมด ๑๑๒ สูตร
๗ ) ชาดก คือ คำสอนที่กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตทั้งที่เป็นเรื่องราวในอดีตของพระพุทธเจ้าบ้าง สาวกบ้าง เป็นธรรมภาษิตในลักษณะการเล่านิทานธรรมอยู่ในเรื่อง ส่วนมากจะเป็นนิบาตชาดก
๘. ) อัพภูตธรรม คือคำสอนที่เป็นเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจหรือเรื่องปาฏิหาริย์
๙. ) เวทัลละ คือคำสอนที่สูงขึ้นไปตามลำดับ อาศัยการวิเคราะห์แยกแยะความหมายอย่างละเอียด เช่นพระอภิธรรมเป็นต้น
๒ ลักษณะทางเนื้อหา
เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาและความหมายของพุทธธรรมแล้วอาจแบ่งได้ ๒ ลักษณะด้วยกัน คือ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวงและสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
๒.๑ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวง
ตามนัยนี้ มีความหมายปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล รวมทั้งสิ่งที่เป็น สังขตะและอสังขตะ ทั้งที่เป็นรูปและเป็นนาม ทั้งส่วนที่เป็นโลกีย์และโลกุตตร๑
สังขตธรรม ได้แก่สิ่งทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งอาจทราบได้ในลักษณะต่อไปนี้ “มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางและแตกดับไปในที่สุด”๒ อสังขตธรรมนี้ได้แก่พระนิพพาน อันเป็นความดับทุกข์โดยเด็ดขาด ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้เลย แต่มีลักษณะให้ทราบได้ ๓ ประการ คือ “ไม่เกิดขึ้นปรากฏ ไม่ดับไปปรากฎ และขณะที่ดำรงอยู่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงปรากฏ” ๓
มีข้อที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือ สังขตธรรมนั้นหมายเอาทั้งโลกุตตรธรรม ๘ ประการ อันมีมรรค ๔ ผล ๔ ด้วย ส่วนอสังขตธรรมหมายเอาพระนิพพานอย่างเดียว ซึ่งก็จัดว่าเป็นโลกุตตรธรรมเหมือนกัน ในพุทธศาสนาได้กล่าวถึงลักษณะของสิ่งทั้งปวงไว้หลายอย่าง เช่น ธรรมตา, ธรรมธาตุ, ธรรมฐิติตา, ธรรมนิยามตา, ซึ่งแต่ละคำก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พุทธธรรมะคือสิ่งหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวเอง มีความถูกต้องและเป็นอิสระในตัวเองโดยสมบูรณ์ มันเป็นกฎของจักรวาลหรือเป็นกฎเกณฑ์อันหนึ่งของธรรมชาติ ซึ่งคงอยู่ชั่วนิรันด์และมิไดถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นสภาพที่มีอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม มิได้ทรงอุบัติก็ตาม สภาวะที่เรียกว่า ธรรมะ นั้น ก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้เปลี่ยนแปลงอย่างอื่น ดังพุทธพจน์ตรัสว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งป่วงเป็นอนัตตา”๔
ทั้ง ๓ ลักษณะนี้เรียกว่ากฎของธรรมดาหรือธรรมชาติ ข้อหนึ่งและสองใช้กล่าวถึงธรรมชาติของสังขตธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ส่วนข้อสุดท้ายใช้กล่าวถึงธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตานั้นใช้กล่าวถึงทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม ดังพุทธพจน์ที่มาในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย เป็นหลักฐานยืนยันข้อความข้างบนนั้นได้เป็นอย่างดีคือ
“ตถาคตเจ้าจะอุบัติขึ้นก็ตาม จะไม่อุบัติขึ้นก็ตามธรรมเหล่านี้ก็คงอยู่อย่านั้น ตั้งอยู่อย่างนั้น และเป็นอยู่อย่างนั้น คือสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ธรรมเหล่านี้ตถาคตได้รู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเองแล้วจึงได้นำมาประกาศแก่คนอื่น”
ได้ความว่าทั้งสังขตธรรมและสังขตธรรมที่กล่าวมานั้นรวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงอันเป็นสภาวะที่มีอยู่เดิม และคงอยู่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตามไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวะนั้นก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้ถูกสร้างขึ้นมิได้ถูกทำลายโดยผู้ใดผู้หนึ่ง พระพุทธเจ้ามิได้เป็นผู้สร้างขึ้น เป็นเพียงผู้ค้นพบแล้วนำมาสอนคนอื่นเท่านั้นดังพุทธพจน์ว่า “พวกเธอจงพยายามทำความเพียรบากบั่นเองเถิด เราตถาคตเป็น แต่ผู้บอกแนวทางให้เท่านั้น”๕
๒.๒.ลักษณะที่เป็นคำสอน
ลักษณะคำสอนนี้ก็รวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงนั้นเอง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างไรหรือมีอะไรที่พระพุทธองค์ทรงสอน และมีสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสั่งสอน พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีพระนามว่า สัพพัญญู แต่พระองค์มิได้ทรงสอนทุกอย่างที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในการปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่า ธรรมหรือคำว่าศาสนาซึ่งหมายเอาทั้งปริยัติ (ทฤษฎี)และปฏิบัติ และปฏิเวธคือการรู้แจ้งแทงตลอดด้วย จะเห็นได้ว่าพุทธภาษิตนั้นเป็นคติเตือนใจของพุทธศาสนิกชนได้ จนบางครั้งสามารถเป็นกำลังใจและสามารถมีผลทำให้คนหยุดกระทำความชั่วได้นอกจากนั้นสุภาษิตก็ยังได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระธรรมวินัย เป็นที่พึ่งแทนพระองค์สมดังพุทธวจนะมาในมหาปรินิพพานสูตรความว่า
“อานนท์ พวกเธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า พระธรรมวินัยมีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มีแล้ว, อานนท์ พวกเธอทั้งหลายไม่ควรเข้าใจอย่างนั้นแล้ว สำหรับพวกเธอทั้งหลายนั่นแล จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว”๖
พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมแก่ประชาชนด้วยวิธี ๓ อย่างด้วยกัน และวิธีการทั้ง ๓ นี้ถือว่าเป็นหลักการสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีข้อดังนี้๗
๑) พระองค์ทรงสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
๒) ทรงสั่งสอนมีเหตุผลที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓) ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การปฏิบัติ
อีกนัยหนึ่งเนื้อหาสาระแห่งพระโอวาทที่พระองค์ทรงประทานแก่พุทธบริษัทเสมอๆนั้น ประมวลลงในหลักการ ๓ อย่างคือ๘
๑ ) สั่งสอนให้เว้นจากการทำบาปทั้งปวง ทุจริต
๒) สั่งสอนให้ทำกุศลทั้งปวง
๓) ทำจิตให้ผ่องแผ้ว
ในคัมภีร์ทีฆนิกายกล่าวยืนยันถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธปัญหาทางอภิปรัชญา ๑๐ ประการเรียกว่า อพยากตปัญหาหรือปัญหาโลกแตก แต่พระองค์ทรงตรัสสอนอริยสัจ ๔ ประการเป็นคำสอนของพระองค์ คือ เรื่องทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ และทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นคำสอนของเราตถาคต โปฏฐปาทะทูลถามต่อไปอีกว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงสอนสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสอรรถาธิบายต่อไปอีกความว่า
“ที่เราสอนเรื่องนี้ เพราะมันเป็นประโยชน์ เป็นความจริง เป็นวิถีแห่งชีวิตอันประเสริฐ ไม่ติดอยู่ในโลก เป็นไปเพื่อดับตัณหา เป็นไปเพื่อความสงบระงับใจ เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง และเป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดังนั้นเราจึงได้นำมาสอนแก่สาวกทั้งหลาย”๙
จากพุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า อริยสัจ ๔ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเป็นคำสอนที่พระองค์ทรงเน้นให้เห็นถึงปัณหาชีวิตในปัจจุบันที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามประสบอยู่สิ่งนั้นคือ ทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ชีวิตเต็มไปด้วยทุกข์ในบางครั้งที่รู้สึกว่าเป็นสุขนั้นเป็นเพียงความหลงเท่านั้น ที่แท้แล้วสิ่งที่เรียกว่าสุขนั้น ก็คือความทุกข์นั้นเอง ทุกข์ดังกล่าวนี้เกิดมาจากตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาก็ไม่มีทุกข์อีกต่อไป พุทธภาษิตแล้วมีลักษณะทางคำสอนดังนี้คือ
๑ )หลักคำสอนในพุทธศาสนา เป็นหลักธรรมทางเสรีภาพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีหลักการและวิธีการอันไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เมื่อบุคคลประพฤติปฏิบัติตามย่อมได้ผลทันตา
๒ ) พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เลิกละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ
๓.) พุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์ทั้งปวงอยู่กันด้วยความมีเสรีภาพไม่เบียดเบียนกัน ให้เลิกดูหมิ่นกัน เพราะถือชาติ วรรณะ โคตร โดยมองให้เห็นว่าเป็นแก่นสารแห่งชีวิต แต่กลับสอนให้มนุษย์มองถึงฝ่ายใน คือความมีศีลธรรมเป็นเกณฑ์ในการตัดสิ้นคนดีหรือชั่ว
๔.) หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักการเสียสละ การเว้นการฆ่าสัตว์ตลอดถึงการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พุทธภาษิตเน้นวิธีการให้เกิดความสังคมสงเคราะห์ แทนการเอาเปรียบกันและกัน และสอนให้หันมาชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดแทนซึ่งเป็นการทำบุญที่สูงสุด
๕ ) พุทธพุทธเจ้ามุ่งสั่งสอนวิธีตรงเข้าหาความจริงและให้รู้จักกับความเป็นจริงของชีวิต โดยมองว่าชีวิตมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ รวมทั้งสอนให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ตรงไปตรงมาไม่ควรเชื้อเรื่องฤกษ์ยาม น้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่กับสอนให้รู้จักทำช่วยตนเองเป็นหลักสำคัญ และสอนให้มนุษย์เข้าใจถึงการเกิดในภพต่างๆ เพราะแรงแห่งตัณหาเป็นปัจจัย
๖.) พุทธภาษิต เป็นวิธีการสอนให้แก้ความเสื่อมทางศีลธรรม โดยไม่มองข้ามปัญหาทางเศรษฐกิจ สอนให้แก้ความชั่วด้วยความความดี สอนให้แก้ที่ตัวเราเองก่อน โดยไม่คอยเกี่ยงให้คนทั้งโลกดีหมดแล้วจึงจะดีเป็นคนสุดท้าย
๗ ) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์ตระหนักถึงเรื่องของสติปัญญาในการดำเนินชีวิต โดยให้ใช้ความรอบคอบในการแก้ไขปัญหา ด้วยการพิจารณาให้เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ แล้วแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ให้เชื้ออย่างงายไร้เหตุผล
๘ ) พุทธภาษิตมุ่งเน้นให้มนุษย์ยึดถือธรรมเป็นใหญ่ เรียกว่าธรรมาธิปไตย ไม่ให้ยึดถือตนเป็นสำคัญ และให้ถือการปฏิบัติเป็นสำคัญในการบูชา
๙.) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์พยายามพึ่งตนเอง และฝึกฝนตนเองมากกว่าพึงพาผู้อื่น เพื่อยกระดับชีวิตตนเองให้ก้าวหน้า ไม่สอนให้รอการอ้อนวอนบวงสรวงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยึดหลักว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของๆตน ด้วยการทำดีได้ดีนั้นเอง
๑๐ ) พุทธภาษิตพยายามไม่สอนให้พุทธบริษัทอย่าเชื้อถือสิ่งได้ด้วยการเด่า แต่ให้เชื่อหลักของพุทธศาสนาที่มีหลักการดีกว่า
๑๑ ) พุทธภาษิตเสนอหลักการให้มนุษย์ทำความดีงามเพราะเห็นแก่ความดี ไม่ทำความดีเพื่อมุ่งลาภ ยศ สรรเสริญ และพุทธศาสนาก็มีหลักการที่พิสูจน์ได้ทุกสมัย
๑๒ ) พุทธภาษิตต้องการให้มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน ยิ่งเป็นฆราวาสย่อมต้องใช้หลักธรรมนี้ให้มาก เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน จึงจะตั้งตัวได้ดี
๑๓ ) พุทธภาษิตต้องการให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ระงับการจองเวรต่อกัน และอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้แก่ผู้อื่น ให้รู้จักการผูกไมตรีต่อกัน โดยการเอื้อเพื้อเผือแผ่แก่กันและกันคือสละสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตและสุดท้ายก็สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
๑๔ ) พุทธภาษิตต้องการสอนให้มนุษย์มีความอดทน ต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย ไม่เป็นคนอ่อนแอ และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตจึงจะพบกับความสุข ดังนั้นพุทธภาษิตก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ
๑๕ ) พุทธภาษิตต้องการเสื่อให้เห็นหลักการปกครองที่เป็นธรรม โดยยึดหลักความละอายต่อความบาป และความชั่วทั้งหลาย ทั้งผู้นำรัฐและผู้ปกครองในระดับท้องถิ่นควรมีหลักธรรมอย่างนี้ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่าดูหมิ่นผู้อื่นเพราะชาติตระกูล เพราะทรัพย์ และอย่ามีอคติต่อกัน เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี เว้นบาปมิตร
๑๖ ) พุทธภาษิตสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าในการดำเนินชีวิต และสอนให้รู้จักการศึกษา เข้าหาผู้เป็นบัณฑิต และเว้นพาลชน เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคม และอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์ แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น และสอนให้มองดูธรรมชาติโดยความเป็นจริง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์ และต้องพยายามเดินตามแนวทางสายกลางย่อมเป็นประตนและผู้อื่นตลอดถึงประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน
๑๗. ) พุทธภาษิตสอนให้ยึดปรมัตถ์ประโยชน์ อย่าหลงในสิ่งอันเป็นสิ่งสมมติอันเป็นสิ่งบัญญัติ แต่ดูโดยรู้เท่าทัน พยายามใช้ปัญญาเป็นเครื่องส่องทางแห่งชีวิตตน พุทธภาษิตสอนให้รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณว่าเป็นสิ่งมงคล และสอนให้รู้จักหลักการดำเนินไปสู่พระนิพพาน ว่าเป็นยอดแห่งความสุข

ຜຍາພາສິດ

๔ ) ผญาภาษิต
เป็นคำสอนที่ให้คติธรรมอันลึกซึ้งแก่ชาวอีสานมาอย่างยาวนาน และเป็นคำสอนในลักษณะเปรียบเทียบ หรือให้ชี้ให้เห็นสัจจธรรมในการดำเนินชีวิต ผญาภาษิตอีสานมีรากฐานมาจากคำสอนในทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนสุภาษิตที่มีอิทพลต่อคำผญาภาษิตอีสานเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อม ไม่ได้สอนโดยทางตรง เมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม ผญาภาษิตนี้ส่วนมาจากคำสอนในหนังสือวรรณคดีเรื่องต่างๆ
สุภาษิตอีสานโดยภาพรวมจึงเกิดมาจากวรรณคดีทั้งทางศาสนาและประเพณีวัฒธรรมของชาวอีสานเป็นส่วนใหญ่ เพราะวรรณกรรมทางภาษาซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตน คือใช้วรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายเป็นสื่อในการสั่งสอนจริยธรรมตลอดถึงวิถีดำเนินชีวิต ตามความเชื่อและมีการตัดสินความดีความชั่วในสังคมด้วย ดังนั้นสุภาษิตอันเกิดจากวรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายจึงเป็นภาพสะท้อนถึงชีวิตคนและสังคมชาวอีสาน พอจะนำมากล่าวถึงมี ๔ ประการใหญ่ดังนี้ คือ
๒.๑.๒ ลักษณะของพุทธภาษิต
ลักษณะทั่วไปของพุทธศาสนสุภาษิตนั้นจัดแบ่งได้ ๒ ลักษณะ คือ ๑. ลักษณะทางฉันทลักษณ์ ๒. ลักษณะทางเนื้อหา
๑. ลักษณะทางฉันลักษณ์
เป็นคำร้อยกรองในภาษาบาลีเรียกว่า ฉันทลักษณะ เป็นคำประพันธ์ที่กำหนด ครุ ลหุ กำหนดจำนวนคำตามข้อบังคับของฉันท์แต่ละชนิด ฉันท์ ๑ บท เรียกว่า ๑ คาถา ฉันท์ ๑ คาถา มี ๔ บาท ฉันท์ ๑ บาทมี ๘ คำ ไม่เกิด ๑๑ คำ หรือ ๑๔ คำ ตามประเภทของฉันท์ นี้เป็นฉันท์ประเภทหนึ่งที่เรียนรู้และรู้จักกันเป็นอย่างดีในวงการภาษาบาลีในประเทศไทย ๖ ชนิด๕ คือ (๑ ) ปัฐยาวัตรฉันท์ (๒) อินทรวิเชียรฉันท์ (๓) อุเปนทรวิเชียรฉันท์ (๔) อินทรวงศ์ฉันท์ (๕) วังสัฏฐฉันท์ (๖) วสันตดิลกฉันท์
อีกนัยหนึ่งแบ่งตามลักษณะของวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ลักษณะเนื้อหาของพุทธภาษิต ผู้เชียวชาญทั้งหลายได้แบ่งเนื้อหาของสุภาษิตในพระพุทธศาสนาออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของรูปแบบคำสอนในพุทธศาสนาเรียกอีกอย่างว่า “นวังคสัตถุศาสตร์”๖ คือคำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ พุทธพจน์มีองค์ประกอบ ๙ อย่าง คือ
๑ ) สุตะ คือคำสั่งสอนที่เป็นพระสูตรและพระวินัย รวมทั้งคัมภีร์ทั้งสองด้วยโดยมีลักษณะเป็นสูตร ซึ่งประกอบไปด้วยระเบียบแบบแผนมีลำดับขั้นตอนต่างๆ อันมีข้อธรรมเป็นลักษณะคือ จากข้อหนึ่งถึงสิบข้อ
๒ ) เคยยะ คือ คำสอนที่เป็นลักษณะทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน ได้แก่พระสูตรที่มีคาถาทั้งหมด
๓ ) เวยยากรณะ (ไวยากรณ์) คือคำสอนเป็นแบบร้อยแก้วล้วนได้แก่พระอภิธรรมปิฏกทั้งหมด และพระสูตรที่ไม่มีคาถา
๔ ) คาถา คือ คำสอนแบบร้อยกรองล้วนๆ เช่น ธรรมบท, เถรคาถา, เถรีคาถา
๕ ) อุทาน คือ คำสอนที่เปล่งออกมาเป็นคำที่มีความหมายต่างๆตามสถานการณ์นั้นๆ เช่น สมัยเกิดความสังเวช , สมัยเกิดความปีติยินดีบ้าง ซึ่งเป็นพระคาถา ๘๒ สูตร
๖. ) อิติวุตตกะ เป็นเรื่อง อ้างอิง คือการยกมากล่าวอ้างของพระสังคีติกาจารย์ผู้รวบรวมโดยไม่บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้แก่ใคร ที่ไหนชื่อพระสูตรเหล่านี้มักขึ้นต้นด้วยคำว่า วุตตัง เหตัง ภควตา (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้) เหมือนกันหมด จึงเรียกว่า อิติวุตตกะ แบ่งเป็น ๔ นิบาตมีทั้งหมด ๑๑๒ สูตร
๗ ) ชาดก คือ คำสอนที่กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตทั้งที่เป็นเรื่องราวในอดีตของพระพุทธเจ้าบ้าง สาวกบ้าง เป็นธรรมภาษิตในลักษณะการเล่านิทานธรรมอยู่ในเรื่อง ส่วนมากจะเป็นนิบาตชาดก
๘. ) อัพภูตธรรม คือคำสอนที่เป็นเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจหรือเรื่องปาฏิหาริย์
๙. ) เวทัลละ คือคำสอนที่สูงขึ้นไปตามลำดับ อาศัยการวิเคราะห์แยกแยะความหมายอย่างละเอียด เช่นพระอภิธรรมเป็นต้น
๒ ลักษณะทางเนื้อหา
เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาและความหมายของพุทธธรรมแล้วอาจแบ่งได้ ๒ ลักษณะด้วยกัน คือ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวงและสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
๒.๑ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวง
ตามนัยนี้ มีความหมายปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล รวมทั้งสิ่งที่เป็น สังขตะและอสังขตะ ทั้งที่เป็นรูปและเป็นนาม ทั้งส่วนที่เป็นโลกีย์และโลกุตตร๑
สังขตธรรม ได้แก่สิ่งทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งอาจทราบได้ในลักษณะต่อไปนี้ “มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางและแตกดับไปในที่สุด”๒ อสังขตธรรมนี้ได้แก่พระนิพพาน อันเป็นความดับทุกข์โดยเด็ดขาด ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้เลย แต่มีลักษณะให้ทราบได้ ๓ ประการ คือ “ไม่เกิดขึ้นปรากฏ ไม่ดับไปปรากฎ และขณะที่ดำรงอยู่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงปรากฏ” ๓
มีข้อที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือ สังขตธรรมนั้นหมายเอาทั้งโลกุตตรธรรม ๘ ประการ อันมีมรรค ๔ ผล ๔ ด้วย ส่วนอสังขตธรรมหมายเอาพระนิพพานอย่างเดียว ซึ่งก็จัดว่าเป็นโลกุตตรธรรมเหมือนกัน ในพุทธศาสนาได้กล่าวถึงลักษณะของสิ่งทั้งปวงไว้หลายอย่าง เช่น ธรรมตา, ธรรมธาตุ, ธรรมฐิติตา, ธรรมนิยามตา, ซึ่งแต่ละคำก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พุทธธรรมะคือสิ่งหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวเอง มีความถูกต้องและเป็นอิสระในตัวเองโดยสมบูรณ์ มันเป็นกฎของจักรวาลหรือเป็นกฎเกณฑ์อันหนึ่งของธรรมชาติ ซึ่งคงอยู่ชั่วนิรันด์และมิไดถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นสภาพที่มีอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม มิได้ทรงอุบัติก็ตาม สภาวะที่เรียกว่า ธรรมะ นั้น ก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้เปลี่ยนแปลงอย่างอื่น ดังพุทธพจน์ตรัสว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งป่วงเป็นอนัตตา”๔
ทั้ง ๓ ลักษณะนี้เรียกว่ากฎของธรรมดาหรือธรรมชาติ ข้อหนึ่งและสองใช้กล่าวถึงธรรมชาติของสังขตธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ส่วนข้อสุดท้ายใช้กล่าวถึงธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตานั้นใช้กล่าวถึงทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม ดังพุทธพจน์ที่มาในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย เป็นหลักฐานยืนยันข้อความข้างบนนั้นได้เป็นอย่างดีคือ
“ตถาคตเจ้าจะอุบัติขึ้นก็ตาม จะไม่อุบัติขึ้นก็ตามธรรมเหล่านี้ก็คงอยู่อย่านั้น ตั้งอยู่อย่างนั้น และเป็นอยู่อย่างนั้น คือสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ธรรมเหล่านี้ตถาคตได้รู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเองแล้วจึงได้นำมาประกาศแก่คนอื่น”
ได้ความว่าทั้งสังขตธรรมและสังขตธรรมที่กล่าวมานั้นรวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงอันเป็นสภาวะที่มีอยู่เดิม และคงอยู่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตามไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวะนั้นก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้ถูกสร้างขึ้นมิได้ถูกทำลายโดยผู้ใดผู้หนึ่ง พระพุทธเจ้ามิได้เป็นผู้สร้างขึ้น เป็นเพียงผู้ค้นพบแล้วนำมาสอนคนอื่นเท่านั้นดังพุทธพจน์ว่า “พวกเธอจงพยายามทำความเพียรบากบั่นเองเถิด เราตถาคตเป็น แต่ผู้บอกแนวทางให้เท่านั้น”๕
๒.๒.ลักษณะที่เป็นคำสอน
ลักษณะคำสอนนี้ก็รวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงนั้นเอง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างไรหรือมีอะไรที่พระพุทธองค์ทรงสอน และมีสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสั่งสอน พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีพระนามว่า สัพพัญญู แต่พระองค์มิได้ทรงสอนทุกอย่างที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในการปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่า ธรรมหรือคำว่าศาสนาซึ่งหมายเอาทั้งปริยัติ (ทฤษฎี)และปฏิบัติ และปฏิเวธคือการรู้แจ้งแทงตลอดด้วย จะเห็นได้ว่าพุทธภาษิตนั้นเป็นคติเตือนใจของพุทธศาสนิกชนได้ จนบางครั้งสามารถเป็นกำลังใจและสามารถมีผลทำให้คนหยุดกระทำความชั่วได้นอกจากนั้นสุภาษิตก็ยังได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระธรรมวินัย เป็นที่พึ่งแทนพระองค์สมดังพุทธวจนะมาในมหาปรินิพพานสูตรความว่า
“อานนท์ พวกเธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า พระธรรมวินัยมีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มีแล้ว, อานนท์ พวกเธอทั้งหลายไม่ควรเข้าใจอย่างนั้นแล้ว สำหรับพวกเธอทั้งหลายนั่นแล จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว”๖
พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมแก่ประชาชนด้วยวิธี ๓ อย่างด้วยกัน และวิธีการทั้ง ๓ นี้ถือว่าเป็นหลักการสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีข้อดังนี้๗
๑) พระองค์ทรงสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
๒) ทรงสั่งสอนมีเหตุผลที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓) ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การปฏิบัติ
อีกนัยหนึ่งเนื้อหาสาระแห่งพระโอวาทที่พระองค์ทรงประทานแก่พุทธบริษัทเสมอๆนั้น ประมวลลงในหลักการ ๓ อย่างคือ๘
๑ ) สั่งสอนให้เว้นจากการทำบาปทั้งปวง ทุจริต
๒) สั่งสอนให้ทำกุศลทั้งปวง
๓) ทำจิตให้ผ่องแผ้ว
ในคัมภีร์ทีฆนิกายกล่าวยืนยันถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธปัญหาทางอภิปรัชญา ๑๐ ประการเรียกว่า อพยากตปัญหาหรือปัญหาโลกแตก แต่พระองค์ทรงตรัสสอนอริยสัจ ๔ ประการเป็นคำสอนของพระองค์ คือ เรื่องทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ และทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นคำสอนของเราตถาคต โปฏฐปาทะทูลถามต่อไปอีกว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงสอนสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสอรรถาธิบายต่อไปอีกความว่า
“ที่เราสอนเรื่องนี้ เพราะมันเป็นประโยชน์ เป็นความจริง เป็นวิถีแห่งชีวิตอันประเสริฐ ไม่ติดอยู่ในโลก เป็นไปเพื่อดับตัณหา เป็นไปเพื่อความสงบระงับใจ เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง และเป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดังนั้นเราจึงได้นำมาสอนแก่สาวกทั้งหลาย”๙
จากพุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า อริยสัจ ๔ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเป็นคำสอนที่พระองค์ทรงเน้นให้เห็นถึงปัณหาชีวิตในปัจจุบันที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามประสบอยู่สิ่งนั้นคือ ทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ชีวิตเต็มไปด้วยทุกข์ในบางครั้งที่รู้สึกว่าเป็นสุขนั้นเป็นเพียงความหลงเท่านั้น ที่แท้แล้วสิ่งที่เรียกว่าสุขนั้น ก็คือความทุกข์นั้นเอง ทุกข์ดังกล่าวนี้เกิดมาจากตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาก็ไม่มีทุกข์อีกต่อไป พุทธภาษิตแล้วมีลักษณะทางคำสอนดังนี้คือ
๑ )หลักคำสอนในพุทธศาสนา เป็นหลักธรรมทางเสรีภาพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีหลักการและวิธีการอันไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เมื่อบุคคลประพฤติปฏิบัติตามย่อมได้ผลทันตา
๒ ) พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เลิกละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ
๓.) พุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์ทั้งปวงอยู่กันด้วยความมีเสรีภาพไม่เบียดเบียนกัน ให้เลิกดูหมิ่นกัน เพราะถือชาติ วรรณะ โคตร โดยมองให้เห็นว่าเป็นแก่นสารแห่งชีวิต แต่กลับสอนให้มนุษย์มองถึงฝ่ายใน คือความมีศีลธรรมเป็นเกณฑ์ในการตัดสิ้นคนดีหรือชั่ว
๔.) หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักการเสียสละ การเว้นการฆ่าสัตว์ตลอดถึงการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พุทธภาษิตเน้นวิธีการให้เกิดความสังคมสงเคราะห์ แทนการเอาเปรียบกันและกัน และสอนให้หันมาชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดแทนซึ่งเป็นการทำบุญที่สูงสุด
๕ ) พุทธพุทธเจ้ามุ่งสั่งสอนวิธีตรงเข้าหาความจริงและให้รู้จักกับความเป็นจริงของชีวิต โดยมองว่าชีวิตมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ รวมทั้งสอนให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ตรงไปตรงมาไม่ควรเชื้อเรื่องฤกษ์ยาม น้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่กับสอนให้รู้จักทำช่วยตนเองเป็นหลักสำคัญ และสอนให้มนุษย์เข้าใจถึงการเกิดในภพต่างๆ เพราะแรงแห่งตัณหาเป็นปัจจัย
๖.) พุทธภาษิต เป็นวิธีการสอนให้แก้ความเสื่อมทางศีลธรรม โดยไม่มองข้ามปัญหาทางเศรษฐกิจ สอนให้แก้ความชั่วด้วยความความดี สอนให้แก้ที่ตัวเราเองก่อน โดยไม่คอยเกี่ยงให้คนทั้งโลกดีหมดแล้วจึงจะดีเป็นคนสุดท้าย
๗ ) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์ตระหนักถึงเรื่องของสติปัญญาในการดำเนินชีวิต โดยให้ใช้ความรอบคอบในการแก้ไขปัญหา ด้วยการพิจารณาให้เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ แล้วแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ให้เชื้ออย่างงายไร้เหตุผล
๘ ) พุทธภาษิตมุ่งเน้นให้มนุษย์ยึดถือธรรมเป็นใหญ่ เรียกว่าธรรมาธิปไตย ไม่ให้ยึดถือตนเป็นสำคัญ และให้ถือการปฏิบัติเป็นสำคัญในการบูชา
๙.) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์พยายามพึ่งตนเอง และฝึกฝนตนเองมากกว่าพึงพาผู้อื่น เพื่อยกระดับชีวิตตนเองให้ก้าวหน้า ไม่สอนให้รอการอ้อนวอนบวงสรวงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยึดหลักว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของๆตน ด้วยการทำดีได้ดีนั้นเอง
๑๐ ) พุทธภาษิตพยายามไม่สอนให้พุทธบริษัทอย่าเชื้อถือสิ่งได้ด้วยการเด่า แต่ให้เชื่อหลักของพุทธศาสนาที่มีหลักการดีกว่า
๑๑ ) พุทธภาษิตเสนอหลักการให้มนุษย์ทำความดีงามเพราะเห็นแก่ความดี ไม่ทำความดีเพื่อมุ่งลาภ ยศ สรรเสริญ และพุทธศาสนาก็มีหลักการที่พิสูจน์ได้ทุกสมัย
๑๒ ) พุทธภาษิตต้องการให้มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน ยิ่งเป็นฆราวาสย่อมต้องใช้หลักธรรมนี้ให้มาก เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน จึงจะตั้งตัวได้ดี
๑๓ ) พุทธภาษิตต้องการให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ระงับการจองเวรต่อกัน และอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้แก่ผู้อื่น ให้รู้จักการผูกไมตรีต่อกัน โดยการเอื้อเพื้อเผือแผ่แก่กันและกันคือสละสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตและสุดท้ายก็สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
๑๔ ) พุทธภาษิตต้องการสอนให้มนุษย์มีความอดทน ต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย ไม่เป็นคนอ่อนแอ และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตจึงจะพบกับความสุข ดังนั้นพุทธภาษิตก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ
๑๕ ) พุทธภาษิตต้องการเสื่อให้เห็นหลักการปกครองที่เป็นธรรม โดยยึดหลักความละอายต่อความบาป และความชั่วทั้งหลาย ทั้งผู้นำรัฐและผู้ปกครองในระดับท้องถิ่นควรมีหลักธรรมอย่างนี้ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่าดูหมิ่นผู้อื่นเพราะชาติตระกูล เพราะทรัพย์ และอย่ามีอคติต่อกัน เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี เว้นบาปมิตร
๑๖ ) พุทธภาษิตสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าในการดำเนินชีวิต และสอนให้รู้จักการศึกษา เข้าหาผู้เป็นบัณฑิต และเว้นพาลชน เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคม และอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์ แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น และสอนให้มองดูธรรมชาติโดยความเป็นจริง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์ และต้องพยายามเดินตามแนวทางสายกลางย่อมเป็นประตนและผู้อื่นตลอดถึงประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน
๑๗. ) พุทธภาษิตสอนให้ยึดปรมัตถ์ประโยชน์ อย่าหลงในสิ่งอันเป็นสิ่งสมมติอันเป็นสิ่งบัญญัติ แต่ดูโดยรู้เท่าทัน พยายามใช้ปัญญาเป็นเครื่องส่องทางแห่งชีวิตตน พุทธภาษิตสอนให้รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณว่าเป็นสิ่งมงคล และสอนให้รู้จักหลักการดำเนินไปสู่พระนิพพาน ว่าเป็นยอดแห่งความสุข
๔ ) ผญาภาษิต
เป็นคำสอนที่ให้คติธรรมอันลึกซึ้งแก่ชาวอีสานมาอย่างยาวนาน และเป็นคำสอนในลักษณะเปรียบเทียบ หรือให้ชี้ให้เห็นสัจจธรรมในการดำเนินชีวิต ผญาภาษิตอีสานมีรากฐานมาจากคำสอนในทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนสุภาษิตที่มีอิทพลต่อคำผญาภาษิตอีสานเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อม ไม่ได้สอนโดยทางตรง เมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม ผญาภาษิตนี้ส่วนมาจากคำสอนในหนังสือวรรณคดีเรื่องต่างๆ
สุภาษิตอีสานโดยภาพรวมจึงเกิดมาจากวรรณคดีทั้งทางศาสนาและประเพณีวัฒธรรมของชาวอีสานเป็นส่วนใหญ่ เพราะวรรณกรรมทางภาษาซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตน คือใช้วรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายเป็นสื่อในการสั่งสอนจริยธรรมตลอดถึงวิถีดำเนินชีวิต ตามความเชื่อและมีการตัดสินความดีความชั่วในสังคมด้วย ดังนั้นสุภาษิตอันเกิดจากวรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายจึงเป็นภาพสะท้อนถึงชีวิตคนและสังคมชาวอีสาน พอจะนำมากล่าวถึงมี ๔ ประการใหญ่ดังนี้ คือ
๒.๑.๒ ลักษณะของพุทธภาษิต
ลักษณะทั่วไปของพุทธศาสนสุภาษิตนั้นจัดแบ่งได้ ๒ ลักษณะ คือ ๑. ลักษณะทางฉันทลักษณ์ ๒. ลักษณะทางเนื้อหา
๑. ลักษณะทางฉันลักษณ์
เป็นคำร้อยกรองในภาษาบาลีเรียกว่า ฉันทลักษณะ เป็นคำประพันธ์ที่กำหนด ครุ ลหุ กำหนดจำนวนคำตามข้อบังคับของฉันท์แต่ละชนิด ฉันท์ ๑ บท เรียกว่า ๑ คาถา ฉันท์ ๑ คาถา มี ๔ บาท ฉันท์ ๑ บาทมี ๘ คำ ไม่เกิด ๑๑ คำ หรือ ๑๔ คำ ตามประเภทของฉันท์ นี้เป็นฉันท์ประเภทหนึ่งที่เรียนรู้และรู้จักกันเป็นอย่างดีในวงการภาษาบาลีในประเทศไทย ๖ ชนิด๕ คือ (๑ ) ปัฐยาวัตรฉันท์ (๒) อินทรวิเชียรฉันท์ (๓) อุเปนทรวิเชียรฉันท์ (๔) อินทรวงศ์ฉันท์ (๕) วังสัฏฐฉันท์ (๖) วสันตดิลกฉันท์
อีกนัยหนึ่งแบ่งตามลักษณะของวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ลักษณะเนื้อหาของพุทธภาษิต ผู้เชียวชาญทั้งหลายได้แบ่งเนื้อหาของสุภาษิตในพระพุทธศาสนาออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของรูปแบบคำสอนในพุทธศาสนาเรียกอีกอย่างว่า “นวังคสัตถุศาสตร์”๖ คือคำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ พุทธพจน์มีองค์ประกอบ ๙ อย่าง คือ
๑ ) สุตะ คือคำสั่งสอนที่เป็นพระสูตรและพระวินัย รวมทั้งคัมภีร์ทั้งสองด้วยโดยมีลักษณะเป็นสูตร ซึ่งประกอบไปด้วยระเบียบแบบแผนมีลำดับขั้นตอนต่างๆ อันมีข้อธรรมเป็นลักษณะคือ จากข้อหนึ่งถึงสิบข้อ
๒ ) เคยยะ คือ คำสอนที่เป็นลักษณะทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน ได้แก่พระสูตรที่มีคาถาทั้งหมด
๓ ) เวยยากรณะ (ไวยากรณ์) คือคำสอนเป็นแบบร้อยแก้วล้วนได้แก่พระอภิธรรมปิฏกทั้งหมด และพระสูตรที่ไม่มีคาถา
๔ ) คาถา คือ คำสอนแบบร้อยกรองล้วนๆ เช่น ธรรมบท, เถรคาถา, เถรีคาถา
๕ ) อุทาน คือ คำสอนที่เปล่งออกมาเป็นคำที่มีความหมายต่างๆตามสถานการณ์นั้นๆ เช่น สมัยเกิดความสังเวช , สมัยเกิดความปีติยินดีบ้าง ซึ่งเป็นพระคาถา ๘๒ สูตร
๖. ) อิติวุตตกะ เป็นเรื่อง อ้างอิง คือการยกมากล่าวอ้างของพระสังคีติกาจารย์ผู้รวบรวมโดยไม่บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้แก่ใคร ที่ไหนชื่อพระสูตรเหล่านี้มักขึ้นต้นด้วยคำว่า วุตตัง เหตัง ภควตา (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้) เหมือนกันหมด จึงเรียกว่า อิติวุตตกะ แบ่งเป็น ๔ นิบาตมีทั้งหมด ๑๑๒ สูตร
๗ ) ชาดก คือ คำสอนที่กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตทั้งที่เป็นเรื่องราวในอดีตของพระพุทธเจ้าบ้าง สาวกบ้าง เป็นธรรมภาษิตในลักษณะการเล่านิทานธรรมอยู่ในเรื่อง ส่วนมากจะเป็นนิบาตชาดก
๘. ) อัพภูตธรรม คือคำสอนที่เป็นเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจหรือเรื่องปาฏิหาริย์
๙. ) เวทัลละ คือคำสอนที่สูงขึ้นไปตามลำดับ อาศัยการวิเคราะห์แยกแยะความหมายอย่างละเอียด เช่นพระอภิธรรมเป็นต้น
๒ ลักษณะทางเนื้อหา
เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาและความหมายของพุทธธรรมแล้วอาจแบ่งได้ ๒ ลักษณะด้วยกัน คือ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวงและสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
๒.๑ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวง
ตามนัยนี้ มีความหมายปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล รวมทั้งสิ่งที่เป็น สังขตะและอสังขตะ ทั้งที่เป็นรูปและเป็นนาม ทั้งส่วนที่เป็นโลกีย์และโลกุตตร๑
สังขตธรรม ได้แก่สิ่งทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งอาจทราบได้ในลักษณะต่อไปนี้ “มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางและแตกดับไปในที่สุด”๒ อสังขตธรรมนี้ได้แก่พระนิพพาน อันเป็นความดับทุกข์โดยเด็ดขาด ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้เลย แต่มีลักษณะให้ทราบได้ ๓ ประการ คือ “ไม่เกิดขึ้นปรากฏ ไม่ดับไปปรากฎ และขณะที่ดำรงอยู่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงปรากฏ” ๓
มีข้อที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือ สังขตธรรมนั้นหมายเอาทั้งโลกุตตรธรรม ๘ ประการ อันมีมรรค ๔ ผล ๔ ด้วย ส่วนอสังขตธรรมหมายเอาพระนิพพานอย่างเดียว ซึ่งก็จัดว่าเป็นโลกุตตรธรรมเหมือนกัน ในพุทธศาสนาได้กล่าวถึงลักษณะของสิ่งทั้งปวงไว้หลายอย่าง เช่น ธรรมตา, ธรรมธาตุ, ธรรมฐิติตา, ธรรมนิยามตา, ซึ่งแต่ละคำก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พุทธธรรมะคือสิ่งหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวเอง มีความถูกต้องและเป็นอิสระในตัวเองโดยสมบูรณ์ มันเป็นกฎของจักรวาลหรือเป็นกฎเกณฑ์อันหนึ่งของธรรมชาติ ซึ่งคงอยู่ชั่วนิรันด์และมิไดถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นสภาพที่มีอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม มิได้ทรงอุบัติก็ตาม สภาวะที่เรียกว่า ธรรมะ นั้น ก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้เปลี่ยนแปลงอย่างอื่น ดังพุทธพจน์ตรัสว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งป่วงเป็นอนัตตา”๔
ทั้ง ๓ ลักษณะนี้เรียกว่ากฎของธรรมดาหรือธรรมชาติ ข้อหนึ่งและสองใช้กล่าวถึงธรรมชาติของสังขตธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ส่วนข้อสุดท้ายใช้กล่าวถึงธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตานั้นใช้กล่าวถึงทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม ดังพุทธพจน์ที่มาในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย เป็นหลักฐานยืนยันข้อความข้างบนนั้นได้เป็นอย่างดีคือ
“ตถาคตเจ้าจะอุบัติขึ้นก็ตาม จะไม่อุบัติขึ้นก็ตามธรรมเหล่านี้ก็คงอยู่อย่านั้น ตั้งอยู่อย่างนั้น และเป็นอยู่อย่างนั้น คือสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ธรรมเหล่านี้ตถาคตได้รู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเองแล้วจึงได้นำมาประกาศแก่คนอื่น”
ได้ความว่าทั้งสังขตธรรมและสังขตธรรมที่กล่าวมานั้นรวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงอันเป็นสภาวะที่มีอยู่เดิม และคงอยู่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตามไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวะนั้นก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้ถูกสร้างขึ้นมิได้ถูกทำลายโดยผู้ใดผู้หนึ่ง พระพุทธเจ้ามิได้เป็นผู้สร้างขึ้น เป็นเพียงผู้ค้นพบแล้วนำมาสอนคนอื่นเท่านั้นดังพุทธพจน์ว่า “พวกเธอจงพยายามทำความเพียรบากบั่นเองเถิด เราตถาคตเป็น แต่ผู้บอกแนวทางให้เท่านั้น”๕
๒.๒.ลักษณะที่เป็นคำสอน
ลักษณะคำสอนนี้ก็รวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงนั้นเอง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างไรหรือมีอะไรที่พระพุทธองค์ทรงสอน และมีสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสั่งสอน พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีพระนามว่า สัพพัญญู แต่พระองค์มิได้ทรงสอนทุกอย่างที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในการปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่า ธรรมหรือคำว่าศาสนาซึ่งหมายเอาทั้งปริยัติ (ทฤษฎี)และปฏิบัติ และปฏิเวธคือการรู้แจ้งแทงตลอดด้วย จะเห็นได้ว่าพุทธภาษิตนั้นเป็นคติเตือนใจของพุทธศาสนิกชนได้ จนบางครั้งสามารถเป็นกำลังใจและสามารถมีผลทำให้คนหยุดกระทำความชั่วได้นอกจากนั้นสุภาษิตก็ยังได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระธรรมวินัย เป็นที่พึ่งแทนพระองค์สมดังพุทธวจนะมาในมหาปรินิพพานสูตรความว่า
“อานนท์ พวกเธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า พระธรรมวินัยมีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มีแล้ว, อานนท์ พวกเธอทั้งหลายไม่ควรเข้าใจอย่างนั้นแล้ว สำหรับพวกเธอทั้งหลายนั่นแล จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว”๖
พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมแก่ประชาชนด้วยวิธี ๓ อย่างด้วยกัน และวิธีการทั้ง ๓ นี้ถือว่าเป็นหลักการสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีข้อดังนี้๗
๑) พระองค์ทรงสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
๒) ทรงสั่งสอนมีเหตุผลที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓) ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การปฏิบัติ
อีกนัยหนึ่งเนื้อหาสาระแห่งพระโอวาทที่พระองค์ทรงประทานแก่พุทธบริษัทเสมอๆนั้น ประมวลลงในหลักการ ๓ อย่างคือ๘
๑ ) สั่งสอนให้เว้นจากการทำบาปทั้งปวง ทุจริต
๒) สั่งสอนให้ทำกุศลทั้งปวง
๓) ทำจิตให้ผ่องแผ้ว
ในคัมภีร์ทีฆนิกายกล่าวยืนยันถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธปัญหาทางอภิปรัชญา ๑๐ ประการเรียกว่า อพยากตปัญหาหรือปัญหาโลกแตก แต่พระองค์ทรงตรัสสอนอริยสัจ ๔ ประการเป็นคำสอนของพระองค์ คือ เรื่องทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ และทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นคำสอนของเราตถาคต โปฏฐปาทะทูลถามต่อไปอีกว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงสอนสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสอรรถาธิบายต่อไปอีกความว่า
“ที่เราสอนเรื่องนี้ เพราะมันเป็นประโยชน์ เป็นความจริง เป็นวิถีแห่งชีวิตอันประเสริฐ ไม่ติดอยู่ในโลก เป็นไปเพื่อดับตัณหา เป็นไปเพื่อความสงบระงับใจ เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง และเป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดังนั้นเราจึงได้นำมาสอนแก่สาวกทั้งหลาย”๙
จากพุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า อริยสัจ ๔ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเป็นคำสอนที่พระองค์ทรงเน้นให้เห็นถึงปัณหาชีวิตในปัจจุบันที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามประสบอยู่สิ่งนั้นคือ ทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ชีวิตเต็มไปด้วยทุกข์ในบางครั้งที่รู้สึกว่าเป็นสุขนั้นเป็นเพียงความหลงเท่านั้น ที่แท้แล้วสิ่งที่เรียกว่าสุขนั้น ก็คือความทุกข์นั้นเอง ทุกข์ดังกล่าวนี้เกิดมาจากตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาก็ไม่มีทุกข์อีกต่อไป พุทธภาษิตแล้วมีลักษณะทางคำสอนดังนี้คือ
๑ )หลักคำสอนในพุทธศาสนา เป็นหลักธรรมทางเสรีภาพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีหลักการและวิธีการอันไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เมื่อบุคคลประพฤติปฏิบัติตามย่อมได้ผลทันตา
๒ ) พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เลิกละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ
๓.) พุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์ทั้งปวงอยู่กันด้วยความมีเสรีภาพไม่เบียดเบียนกัน ให้เลิกดูหมิ่นกัน เพราะถือชาติ วรรณะ โคตร โดยมองให้เห็นว่าเป็นแก่นสารแห่งชีวิต แต่กลับสอนให้มนุษย์มองถึงฝ่ายใน คือความมีศีลธรรมเป็นเกณฑ์ในการตัดสิ้นคนดีหรือชั่ว
๔.) หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักการเสียสละ การเว้นการฆ่าสัตว์ตลอดถึงการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พุทธภาษิตเน้นวิธีการให้เกิดความสังคมสงเคราะห์ แทนการเอาเปรียบกันและกัน และสอนให้หันมาชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดแทนซึ่งเป็นการทำบุญที่สูงสุด
๕ ) พุทธพุทธเจ้ามุ่งสั่งสอนวิธีตรงเข้าหาความจริงและให้รู้จักกับความเป็นจริงของชีวิต โดยมองว่าชีวิตมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ รวมทั้งสอนให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ตรงไปตรงมาไม่ควรเชื้อเรื่องฤกษ์ยาม น้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่กับสอนให้รู้จักทำช่วยตนเองเป็นหลักสำคัญ และสอนให้มนุษย์เข้าใจถึงการเกิดในภพต่างๆ เพราะแรงแห่งตัณหาเป็นปัจจัย
๖.) พุทธภาษิต เป็นวิธีการสอนให้แก้ความเสื่อมทางศีลธรรม โดยไม่มองข้ามปัญหาทางเศรษฐกิจ สอนให้แก้ความชั่วด้วยความความดี สอนให้แก้ที่ตัวเราเองก่อน โดยไม่คอยเกี่ยงให้คนทั้งโลกดีหมดแล้วจึงจะดีเป็นคนสุดท้าย
๗ ) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์ตระหนักถึงเรื่องของสติปัญญาในการดำเนินชีวิต โดยให้ใช้ความรอบคอบในการแก้ไขปัญหา ด้วยการพิจารณาให้เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ แล้วแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ให้เชื้ออย่างงายไร้เหตุผล
๘ ) พุทธภาษิตมุ่งเน้นให้มนุษย์ยึดถือธรรมเป็นใหญ่ เรียกว่าธรรมาธิปไตย ไม่ให้ยึดถือตนเป็นสำคัญ และให้ถือการปฏิบัติเป็นสำคัญในการบูชา
๙.) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์พยายามพึ่งตนเอง และฝึกฝนตนเองมากกว่าพึงพาผู้อื่น เพื่อยกระดับชีวิตตนเองให้ก้าวหน้า ไม่สอนให้รอการอ้อนวอนบวงสรวงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยึดหลักว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของๆตน ด้วยการทำดีได้ดีนั้นเอง
๑๐ ) พุทธภาษิตพยายามไม่สอนให้พุทธบริษัทอย่าเชื้อถือสิ่งได้ด้วยการเด่า แต่ให้เชื่อหลักของพุทธศาสนาที่มีหลักการดีกว่า
๑๑ ) พุทธภาษิตเสนอหลักการให้มนุษย์ทำความดีงามเพราะเห็นแก่ความดี ไม่ทำความดีเพื่อมุ่งลาภ ยศ สรรเสริญ และพุทธศาสนาก็มีหลักการที่พิสูจน์ได้ทุกสมัย
๑๒ ) พุทธภาษิตต้องการให้มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน ยิ่งเป็นฆราวาสย่อมต้องใช้หลักธรรมนี้ให้มาก เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน จึงจะตั้งตัวได้ดี
๑๓ ) พุทธภาษิตต้องการให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ระงับการจองเวรต่อกัน และอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้แก่ผู้อื่น ให้รู้จักการผูกไมตรีต่อกัน โดยการเอื้อเพื้อเผือแผ่แก่กันและกันคือสละสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตและสุดท้ายก็สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
๑๔ ) พุทธภาษิตต้องการสอนให้มนุษย์มีความอดทน ต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย ไม่เป็นคนอ่อนแอ และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตจึงจะพบกับความสุข ดังนั้นพุทธภาษิตก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ
๑๕ ) พุทธภาษิตต้องการเสื่อให้เห็นหลักการปกครองที่เป็นธรรม โดยยึดหลักความละอายต่อความบาป และความชั่วทั้งหลาย ทั้งผู้นำรัฐและผู้ปกครองในระดับท้องถิ่นควรมีหลักธรรมอย่างนี้ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่าดูหมิ่นผู้อื่นเพราะชาติตระกูล เพราะทรัพย์ และอย่ามีอคติต่อกัน เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี เว้นบาปมิตร
๑๖ ) พุทธภาษิตสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าในการดำเนินชีวิต และสอนให้รู้จักการศึกษา เข้าหาผู้เป็นบัณฑิต และเว้นพาลชน เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคม และอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์ แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น และสอนให้มองดูธรรมชาติโดยความเป็นจริง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์ และต้องพยายามเดินตามแนวทางสายกลางย่อมเป็นประตนและผู้อื่นตลอดถึงประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน
๑๗. ) พุทธภาษิตสอนให้ยึดปรมัตถ์ประโยชน์ อย่าหลงในสิ่งอันเป็นสิ่งสมมติอันเป็นสิ่งบัญญัติ แต่ดูโดยรู้เท่าทัน พยายามใช้ปัญญาเป็นเครื่องส่องทางแห่งชีวิตตน พุทธภาษิตสอนให้รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณว่าเป็นสิ่งมงคล และสอนให้รู้จักหลักการดำเนินไปสู่พระนิพพาน ว่าเป็นยอดแห่งความสุข

ຜຍາພາສິດ

๔ ) ผญาภาษิต
เป็นคำสอนที่ให้คติธรรมอันลึกซึ้งแก่ชาวอีสานมาอย่างยาวนาน และเป็นคำสอนในลักษณะเปรียบเทียบ หรือให้ชี้ให้เห็นสัจจธรรมในการดำเนินชีวิต ผญาภาษิตอีสานมีรากฐานมาจากคำสอนในทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนสุภาษิตที่มีอิทพลต่อคำผญาภาษิตอีสานเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อม ไม่ได้สอนโดยทางตรง เมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม ผญาภาษิตนี้ส่วนมาจากคำสอนในหนังสือวรรณคดีเรื่องต่างๆ
สุภาษิตอีสานโดยภาพรวมจึงเกิดมาจากวรรณคดีทั้งทางศาสนาและประเพณีวัฒธรรมของชาวอีสานเป็นส่วนใหญ่ เพราะวรรณกรรมทางภาษาซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตน คือใช้วรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายเป็นสื่อในการสั่งสอนจริยธรรมตลอดถึงวิถีดำเนินชีวิต ตามความเชื่อและมีการตัดสินความดีความชั่วในสังคมด้วย ดังนั้นสุภาษิตอันเกิดจากวรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายจึงเป็นภาพสะท้อนถึงชีวิตคนและสังคมชาวอีสาน พอจะนำมากล่าวถึงมี ๔ ประการใหญ่ดังนี้ คือ
๒.๑.๒ ลักษณะของพุทธภาษิต
ลักษณะทั่วไปของพุทธศาสนสุภาษิตนั้นจัดแบ่งได้ ๒ ลักษณะ คือ ๑. ลักษณะทางฉันทลักษณ์ ๒. ลักษณะทางเนื้อหา
๑. ลักษณะทางฉันลักษณ์
เป็นคำร้อยกรองในภาษาบาลีเรียกว่า ฉันทลักษณะ เป็นคำประพันธ์ที่กำหนด ครุ ลหุ กำหนดจำนวนคำตามข้อบังคับของฉันท์แต่ละชนิด ฉันท์ ๑ บท เรียกว่า ๑ คาถา ฉันท์ ๑ คาถา มี ๔ บาท ฉันท์ ๑ บาทมี ๘ คำ ไม่เกิด ๑๑ คำ หรือ ๑๔ คำ ตามประเภทของฉันท์ นี้เป็นฉันท์ประเภทหนึ่งที่เรียนรู้และรู้จักกันเป็นอย่างดีในวงการภาษาบาลีในประเทศไทย ๖ ชนิด๕ คือ (๑ ) ปัฐยาวัตรฉันท์ (๒) อินทรวิเชียรฉันท์ (๓) อุเปนทรวิเชียรฉันท์ (๔) อินทรวงศ์ฉันท์ (๕) วังสัฏฐฉันท์ (๖) วสันตดิลกฉันท์
อีกนัยหนึ่งแบ่งตามลักษณะของวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ลักษณะเนื้อหาของพุทธภาษิต ผู้เชียวชาญทั้งหลายได้แบ่งเนื้อหาของสุภาษิตในพระพุทธศาสนาออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของรูปแบบคำสอนในพุทธศาสนาเรียกอีกอย่างว่า “นวังคสัตถุศาสตร์”๖ คือคำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ พุทธพจน์มีองค์ประกอบ ๙ อย่าง คือ
๑ ) สุตะ คือคำสั่งสอนที่เป็นพระสูตรและพระวินัย รวมทั้งคัมภีร์ทั้งสองด้วยโดยมีลักษณะเป็นสูตร ซึ่งประกอบไปด้วยระเบียบแบบแผนมีลำดับขั้นตอนต่างๆ อันมีข้อธรรมเป็นลักษณะคือ จากข้อหนึ่งถึงสิบข้อ
๒ ) เคยยะ คือ คำสอนที่เป็นลักษณะทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน ได้แก่พระสูตรที่มีคาถาทั้งหมด
๓ ) เวยยากรณะ (ไวยากรณ์) คือคำสอนเป็นแบบร้อยแก้วล้วนได้แก่พระอภิธรรมปิฏกทั้งหมด และพระสูตรที่ไม่มีคาถา
๔ ) คาถา คือ คำสอนแบบร้อยกรองล้วนๆ เช่น ธรรมบท, เถรคาถา, เถรีคาถา
๕ ) อุทาน คือ คำสอนที่เปล่งออกมาเป็นคำที่มีความหมายต่างๆตามสถานการณ์นั้นๆ เช่น สมัยเกิดความสังเวช , สมัยเกิดความปีติยินดีบ้าง ซึ่งเป็นพระคาถา ๘๒ สูตร
๖. ) อิติวุตตกะ เป็นเรื่อง อ้างอิง คือการยกมากล่าวอ้างของพระสังคีติกาจารย์ผู้รวบรวมโดยไม่บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้แก่ใคร ที่ไหนชื่อพระสูตรเหล่านี้มักขึ้นต้นด้วยคำว่า วุตตัง เหตัง ภควตา (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้) เหมือนกันหมด จึงเรียกว่า อิติวุตตกะ แบ่งเป็น ๔ นิบาตมีทั้งหมด ๑๑๒ สูตร
๗ ) ชาดก คือ คำสอนที่กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตทั้งที่เป็นเรื่องราวในอดีตของพระพุทธเจ้าบ้าง สาวกบ้าง เป็นธรรมภาษิตในลักษณะการเล่านิทานธรรมอยู่ในเรื่อง ส่วนมากจะเป็นนิบาตชาดก
๘. ) อัพภูตธรรม คือคำสอนที่เป็นเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจหรือเรื่องปาฏิหาริย์
๙. ) เวทัลละ คือคำสอนที่สูงขึ้นไปตามลำดับ อาศัยการวิเคราะห์แยกแยะความหมายอย่างละเอียด เช่นพระอภิธรรมเป็นต้น
๒ ลักษณะทางเนื้อหา
เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาและความหมายของพุทธธรรมแล้วอาจแบ่งได้ ๒ ลักษณะด้วยกัน คือ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวงและสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
๒.๑ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวง
ตามนัยนี้ มีความหมายปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล รวมทั้งสิ่งที่เป็น สังขตะและอสังขตะ ทั้งที่เป็นรูปและเป็นนาม ทั้งส่วนที่เป็นโลกีย์และโลกุตตร๑
สังขตธรรม ได้แก่สิ่งทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งอาจทราบได้ในลักษณะต่อไปนี้ “มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางและแตกดับไปในที่สุด”๒ อสังขตธรรมนี้ได้แก่พระนิพพาน อันเป็นความดับทุกข์โดยเด็ดขาด ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้เลย แต่มีลักษณะให้ทราบได้ ๓ ประการ คือ “ไม่เกิดขึ้นปรากฏ ไม่ดับไปปรากฎ และขณะที่ดำรงอยู่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงปรากฏ” ๓
มีข้อที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือ สังขตธรรมนั้นหมายเอาทั้งโลกุตตรธรรม ๘ ประการ อันมีมรรค ๔ ผล ๔ ด้วย ส่วนอสังขตธรรมหมายเอาพระนิพพานอย่างเดียว ซึ่งก็จัดว่าเป็นโลกุตตรธรรมเหมือนกัน ในพุทธศาสนาได้กล่าวถึงลักษณะของสิ่งทั้งปวงไว้หลายอย่าง เช่น ธรรมตา, ธรรมธาตุ, ธรรมฐิติตา, ธรรมนิยามตา, ซึ่งแต่ละคำก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พุทธธรรมะคือสิ่งหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวเอง มีความถูกต้องและเป็นอิสระในตัวเองโดยสมบูรณ์ มันเป็นกฎของจักรวาลหรือเป็นกฎเกณฑ์อันหนึ่งของธรรมชาติ ซึ่งคงอยู่ชั่วนิรันด์และมิไดถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นสภาพที่มีอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม มิได้ทรงอุบัติก็ตาม สภาวะที่เรียกว่า ธรรมะ นั้น ก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้เปลี่ยนแปลงอย่างอื่น ดังพุทธพจน์ตรัสว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งป่วงเป็นอนัตตา”๔
ทั้ง ๓ ลักษณะนี้เรียกว่ากฎของธรรมดาหรือธรรมชาติ ข้อหนึ่งและสองใช้กล่าวถึงธรรมชาติของสังขตธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ส่วนข้อสุดท้ายใช้กล่าวถึงธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตานั้นใช้กล่าวถึงทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม ดังพุทธพจน์ที่มาในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย เป็นหลักฐานยืนยันข้อความข้างบนนั้นได้เป็นอย่างดีคือ
“ตถาคตเจ้าจะอุบัติขึ้นก็ตาม จะไม่อุบัติขึ้นก็ตามธรรมเหล่านี้ก็คงอยู่อย่านั้น ตั้งอยู่อย่างนั้น และเป็นอยู่อย่างนั้น คือสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ธรรมเหล่านี้ตถาคตได้รู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเองแล้วจึงได้นำมาประกาศแก่คนอื่น”
ได้ความว่าทั้งสังขตธรรมและสังขตธรรมที่กล่าวมานั้นรวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงอันเป็นสภาวะที่มีอยู่เดิม และคงอยู่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตามไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวะนั้นก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้ถูกสร้างขึ้นมิได้ถูกทำลายโดยผู้ใดผู้หนึ่ง พระพุทธเจ้ามิได้เป็นผู้สร้างขึ้น เป็นเพียงผู้ค้นพบแล้วนำมาสอนคนอื่นเท่านั้นดังพุทธพจน์ว่า “พวกเธอจงพยายามทำความเพียรบากบั่นเองเถิด เราตถาคตเป็น แต่ผู้บอกแนวทางให้เท่านั้น”๕
๒.๒.ลักษณะที่เป็นคำสอน
ลักษณะคำสอนนี้ก็รวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงนั้นเอง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างไรหรือมีอะไรที่พระพุทธองค์ทรงสอน และมีสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสั่งสอน พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีพระนามว่า สัพพัญญู แต่พระองค์มิได้ทรงสอนทุกอย่างที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในการปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่า ธรรมหรือคำว่าศาสนาซึ่งหมายเอาทั้งปริยัติ (ทฤษฎี)และปฏิบัติ และปฏิเวธคือการรู้แจ้งแทงตลอดด้วย จะเห็นได้ว่าพุทธภาษิตนั้นเป็นคติเตือนใจของพุทธศาสนิกชนได้ จนบางครั้งสามารถเป็นกำลังใจและสามารถมีผลทำให้คนหยุดกระทำความชั่วได้นอกจากนั้นสุภาษิตก็ยังได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระธรรมวินัย เป็นที่พึ่งแทนพระองค์สมดังพุทธวจนะมาในมหาปรินิพพานสูตรความว่า
“อานนท์ พวกเธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า พระธรรมวินัยมีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มีแล้ว, อานนท์ พวกเธอทั้งหลายไม่ควรเข้าใจอย่างนั้นแล้ว สำหรับพวกเธอทั้งหลายนั่นแล จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว”๖
พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมแก่ประชาชนด้วยวิธี ๓ อย่างด้วยกัน และวิธีการทั้ง ๓ นี้ถือว่าเป็นหลักการสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีข้อดังนี้๗
๑) พระองค์ทรงสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
๒) ทรงสั่งสอนมีเหตุผลที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓) ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การปฏิบัติ
อีกนัยหนึ่งเนื้อหาสาระแห่งพระโอวาทที่พระองค์ทรงประทานแก่พุทธบริษัทเสมอๆนั้น ประมวลลงในหลักการ ๓ อย่างคือ๘
๑ ) สั่งสอนให้เว้นจากการทำบาปทั้งปวง ทุจริต
๒) สั่งสอนให้ทำกุศลทั้งปวง
๓) ทำจิตให้ผ่องแผ้ว
ในคัมภีร์ทีฆนิกายกล่าวยืนยันถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธปัญหาทางอภิปรัชญา ๑๐ ประการเรียกว่า อพยากตปัญหาหรือปัญหาโลกแตก แต่พระองค์ทรงตรัสสอนอริยสัจ ๔ ประการเป็นคำสอนของพระองค์ คือ เรื่องทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ และทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นคำสอนของเราตถาคต โปฏฐปาทะทูลถามต่อไปอีกว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงสอนสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสอรรถาธิบายต่อไปอีกความว่า
“ที่เราสอนเรื่องนี้ เพราะมันเป็นประโยชน์ เป็นความจริง เป็นวิถีแห่งชีวิตอันประเสริฐ ไม่ติดอยู่ในโลก เป็นไปเพื่อดับตัณหา เป็นไปเพื่อความสงบระงับใจ เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง และเป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดังนั้นเราจึงได้นำมาสอนแก่สาวกทั้งหลาย”๙
จากพุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า อริยสัจ ๔ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเป็นคำสอนที่พระองค์ทรงเน้นให้เห็นถึงปัณหาชีวิตในปัจจุบันที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามประสบอยู่สิ่งนั้นคือ ทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ชีวิตเต็มไปด้วยทุกข์ในบางครั้งที่รู้สึกว่าเป็นสุขนั้นเป็นเพียงความหลงเท่านั้น ที่แท้แล้วสิ่งที่เรียกว่าสุขนั้น ก็คือความทุกข์นั้นเอง ทุกข์ดังกล่าวนี้เกิดมาจากตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาก็ไม่มีทุกข์อีกต่อไป พุทธภาษิตแล้วมีลักษณะทางคำสอนดังนี้คือ
๑ )หลักคำสอนในพุทธศาสนา เป็นหลักธรรมทางเสรีภาพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีหลักการและวิธีการอันไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เมื่อบุคคลประพฤติปฏิบัติตามย่อมได้ผลทันตา
๒ ) พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เลิกละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ
๓.) พุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์ทั้งปวงอยู่กันด้วยความมีเสรีภาพไม่เบียดเบียนกัน ให้เลิกดูหมิ่นกัน เพราะถือชาติ วรรณะ โคตร โดยมองให้เห็นว่าเป็นแก่นสารแห่งชีวิต แต่กลับสอนให้มนุษย์มองถึงฝ่ายใน คือความมีศีลธรรมเป็นเกณฑ์ในการตัดสิ้นคนดีหรือชั่ว
๔.) หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักการเสียสละ การเว้นการฆ่าสัตว์ตลอดถึงการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พุทธภาษิตเน้นวิธีการให้เกิดความสังคมสงเคราะห์ แทนการเอาเปรียบกันและกัน และสอนให้หันมาชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดแทนซึ่งเป็นการทำบุญที่สูงสุด
๕ ) พุทธพุทธเจ้ามุ่งสั่งสอนวิธีตรงเข้าหาความจริงและให้รู้จักกับความเป็นจริงของชีวิต โดยมองว่าชีวิตมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ รวมทั้งสอนให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ตรงไปตรงมาไม่ควรเชื้อเรื่องฤกษ์ยาม น้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่กับสอนให้รู้จักทำช่วยตนเองเป็นหลักสำคัญ และสอนให้มนุษย์เข้าใจถึงการเกิดในภพต่างๆ เพราะแรงแห่งตัณหาเป็นปัจจัย
๖.) พุทธภาษิต เป็นวิธีการสอนให้แก้ความเสื่อมทางศีลธรรม โดยไม่มองข้ามปัญหาทางเศรษฐกิจ สอนให้แก้ความชั่วด้วยความความดี สอนให้แก้ที่ตัวเราเองก่อน โดยไม่คอยเกี่ยงให้คนทั้งโลกดีหมดแล้วจึงจะดีเป็นคนสุดท้าย
๗ ) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์ตระหนักถึงเรื่องของสติปัญญาในการดำเนินชีวิต โดยให้ใช้ความรอบคอบในการแก้ไขปัญหา ด้วยการพิจารณาให้เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ แล้วแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ให้เชื้ออย่างงายไร้เหตุผล
๘ ) พุทธภาษิตมุ่งเน้นให้มนุษย์ยึดถือธรรมเป็นใหญ่ เรียกว่าธรรมาธิปไตย ไม่ให้ยึดถือตนเป็นสำคัญ และให้ถือการปฏิบัติเป็นสำคัญในการบูชา
๙.) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์พยายามพึ่งตนเอง และฝึกฝนตนเองมากกว่าพึงพาผู้อื่น เพื่อยกระดับชีวิตตนเองให้ก้าวหน้า ไม่สอนให้รอการอ้อนวอนบวงสรวงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยึดหลักว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของๆตน ด้วยการทำดีได้ดีนั้นเอง
๑๐ ) พุทธภาษิตพยายามไม่สอนให้พุทธบริษัทอย่าเชื้อถือสิ่งได้ด้วยการเด่า แต่ให้เชื่อหลักของพุทธศาสนาที่มีหลักการดีกว่า
๑๑ ) พุทธภาษิตเสนอหลักการให้มนุษย์ทำความดีงามเพราะเห็นแก่ความดี ไม่ทำความดีเพื่อมุ่งลาภ ยศ สรรเสริญ และพุทธศาสนาก็มีหลักการที่พิสูจน์ได้ทุกสมัย
๑๒ ) พุทธภาษิตต้องการให้มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน ยิ่งเป็นฆราวาสย่อมต้องใช้หลักธรรมนี้ให้มาก เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน จึงจะตั้งตัวได้ดี
๑๓ ) พุทธภาษิตต้องการให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ระงับการจองเวรต่อกัน และอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้แก่ผู้อื่น ให้รู้จักการผูกไมตรีต่อกัน โดยการเอื้อเพื้อเผือแผ่แก่กันและกันคือสละสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตและสุดท้ายก็สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
๑๔ ) พุทธภาษิตต้องการสอนให้มนุษย์มีความอดทน ต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย ไม่เป็นคนอ่อนแอ และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตจึงจะพบกับความสุข ดังนั้นพุทธภาษิตก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ
๑๕ ) พุทธภาษิตต้องการเสื่อให้เห็นหลักการปกครองที่เป็นธรรม โดยยึดหลักความละอายต่อความบาป และความชั่วทั้งหลาย ทั้งผู้นำรัฐและผู้ปกครองในระดับท้องถิ่นควรมีหลักธรรมอย่างนี้ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่าดูหมิ่นผู้อื่นเพราะชาติตระกูล เพราะทรัพย์ และอย่ามีอคติต่อกัน เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี เว้นบาปมิตร
๑๖ ) พุทธภาษิตสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าในการดำเนินชีวิต และสอนให้รู้จักการศึกษา เข้าหาผู้เป็นบัณฑิต และเว้นพาลชน เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคม และอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์ แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น และสอนให้มองดูธรรมชาติโดยความเป็นจริง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์ และต้องพยายามเดินตามแนวทางสายกลางย่อมเป็นประตนและผู้อื่นตลอดถึงประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน
๑๗. ) พุทธภาษิตสอนให้ยึดปรมัตถ์ประโยชน์ อย่าหลงในสิ่งอันเป็นสิ่งสมมติอันเป็นสิ่งบัญญัติ แต่ดูโดยรู้เท่าทัน พยายามใช้ปัญญาเป็นเครื่องส่องทางแห่งชีวิตตน พุทธภาษิตสอนให้รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณว่าเป็นสิ่งมงคล และสอนให้รู้จักหลักการดำเนินไปสู่พระนิพพาน ว่าเป็นยอดแห่งความสุข
๔ ) ผญาภาษิต
เป็นคำสอนที่ให้คติธรรมอันลึกซึ้งแก่ชาวอีสานมาอย่างยาวนาน และเป็นคำสอนในลักษณะเปรียบเทียบ หรือให้ชี้ให้เห็นสัจจธรรมในการดำเนินชีวิต ผญาภาษิตอีสานมีรากฐานมาจากคำสอนในทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนสุภาษิตที่มีอิทพลต่อคำผญาภาษิตอีสานเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อม ไม่ได้สอนโดยทางตรง เมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์ ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม ผญาภาษิตนี้ส่วนมาจากคำสอนในหนังสือวรรณคดีเรื่องต่างๆ
สุภาษิตอีสานโดยภาพรวมจึงเกิดมาจากวรรณคดีทั้งทางศาสนาและประเพณีวัฒธรรมของชาวอีสานเป็นส่วนใหญ่ เพราะวรรณกรรมทางภาษาซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตน คือใช้วรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายเป็นสื่อในการสั่งสอนจริยธรรมตลอดถึงวิถีดำเนินชีวิต ตามความเชื่อและมีการตัดสินความดีความชั่วในสังคมด้วย ดังนั้นสุภาษิตอันเกิดจากวรรณกรรมคำสอนทั้งสองสายจึงเป็นภาพสะท้อนถึงชีวิตคนและสังคมชาวอีสาน พอจะนำมากล่าวถึงมี ๔ ประการใหญ่ดังนี้ คือ
๒.๑.๒ ลักษณะของพุทธภาษิต
ลักษณะทั่วไปของพุทธศาสนสุภาษิตนั้นจัดแบ่งได้ ๒ ลักษณะ คือ ๑. ลักษณะทางฉันทลักษณ์ ๒. ลักษณะทางเนื้อหา
๑. ลักษณะทางฉันลักษณ์
เป็นคำร้อยกรองในภาษาบาลีเรียกว่า ฉันทลักษณะ เป็นคำประพันธ์ที่กำหนด ครุ ลหุ กำหนดจำนวนคำตามข้อบังคับของฉันท์แต่ละชนิด ฉันท์ ๑ บท เรียกว่า ๑ คาถา ฉันท์ ๑ คาถา มี ๔ บาท ฉันท์ ๑ บาทมี ๘ คำ ไม่เกิด ๑๑ คำ หรือ ๑๔ คำ ตามประเภทของฉันท์ นี้เป็นฉันท์ประเภทหนึ่งที่เรียนรู้และรู้จักกันเป็นอย่างดีในวงการภาษาบาลีในประเทศไทย ๖ ชนิด๕ คือ (๑ ) ปัฐยาวัตรฉันท์ (๒) อินทรวิเชียรฉันท์ (๓) อุเปนทรวิเชียรฉันท์ (๔) อินทรวงศ์ฉันท์ (๕) วังสัฏฐฉันท์ (๖) วสันตดิลกฉันท์
อีกนัยหนึ่งแบ่งตามลักษณะของวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ลักษณะเนื้อหาของพุทธภาษิต ผู้เชียวชาญทั้งหลายได้แบ่งเนื้อหาของสุภาษิตในพระพุทธศาสนาออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของรูปแบบคำสอนในพุทธศาสนาเรียกอีกอย่างว่า “นวังคสัตถุศาสตร์”๖ คือคำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ พุทธพจน์มีองค์ประกอบ ๙ อย่าง คือ
๑ ) สุตะ คือคำสั่งสอนที่เป็นพระสูตรและพระวินัย รวมทั้งคัมภีร์ทั้งสองด้วยโดยมีลักษณะเป็นสูตร ซึ่งประกอบไปด้วยระเบียบแบบแผนมีลำดับขั้นตอนต่างๆ อันมีข้อธรรมเป็นลักษณะคือ จากข้อหนึ่งถึงสิบข้อ
๒ ) เคยยะ คือ คำสอนที่เป็นลักษณะทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน ได้แก่พระสูตรที่มีคาถาทั้งหมด
๓ ) เวยยากรณะ (ไวยากรณ์) คือคำสอนเป็นแบบร้อยแก้วล้วนได้แก่พระอภิธรรมปิฏกทั้งหมด และพระสูตรที่ไม่มีคาถา
๔ ) คาถา คือ คำสอนแบบร้อยกรองล้วนๆ เช่น ธรรมบท, เถรคาถา, เถรีคาถา
๕ ) อุทาน คือ คำสอนที่เปล่งออกมาเป็นคำที่มีความหมายต่างๆตามสถานการณ์นั้นๆ เช่น สมัยเกิดความสังเวช , สมัยเกิดความปีติยินดีบ้าง ซึ่งเป็นพระคาถา ๘๒ สูตร
๖. ) อิติวุตตกะ เป็นเรื่อง อ้างอิง คือการยกมากล่าวอ้างของพระสังคีติกาจารย์ผู้รวบรวมโดยไม่บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้แก่ใคร ที่ไหนชื่อพระสูตรเหล่านี้มักขึ้นต้นด้วยคำว่า วุตตัง เหตัง ภควตา (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้) เหมือนกันหมด จึงเรียกว่า อิติวุตตกะ แบ่งเป็น ๔ นิบาตมีทั้งหมด ๑๑๒ สูตร
๗ ) ชาดก คือ คำสอนที่กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตทั้งที่เป็นเรื่องราวในอดีตของพระพุทธเจ้าบ้าง สาวกบ้าง เป็นธรรมภาษิตในลักษณะการเล่านิทานธรรมอยู่ในเรื่อง ส่วนมากจะเป็นนิบาตชาดก
๘. ) อัพภูตธรรม คือคำสอนที่เป็นเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจหรือเรื่องปาฏิหาริย์
๙. ) เวทัลละ คือคำสอนที่สูงขึ้นไปตามลำดับ อาศัยการวิเคราะห์แยกแยะความหมายอย่างละเอียด เช่นพระอภิธรรมเป็นต้น
๒ ลักษณะทางเนื้อหา
เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาและความหมายของพุทธธรรมแล้วอาจแบ่งได้ ๒ ลักษณะด้วยกัน คือ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวงและสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
๒.๑ ลักษณะที่เป็นสิ่งทั้งปวง
ตามนัยนี้ มีความหมายปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล รวมทั้งสิ่งที่เป็น สังขตะและอสังขตะ ทั้งที่เป็นรูปและเป็นนาม ทั้งส่วนที่เป็นโลกีย์และโลกุตตร๑
สังขตธรรม ได้แก่สิ่งทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งอาจทราบได้ในลักษณะต่อไปนี้ “มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางและแตกดับไปในที่สุด”๒ อสังขตธรรมนี้ได้แก่พระนิพพาน อันเป็นความดับทุกข์โดยเด็ดขาด ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้เลย แต่มีลักษณะให้ทราบได้ ๓ ประการ คือ “ไม่เกิดขึ้นปรากฏ ไม่ดับไปปรากฎ และขณะที่ดำรงอยู่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงปรากฏ” ๓
มีข้อที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือ สังขตธรรมนั้นหมายเอาทั้งโลกุตตรธรรม ๘ ประการ อันมีมรรค ๔ ผล ๔ ด้วย ส่วนอสังขตธรรมหมายเอาพระนิพพานอย่างเดียว ซึ่งก็จัดว่าเป็นโลกุตตรธรรมเหมือนกัน ในพุทธศาสนาได้กล่าวถึงลักษณะของสิ่งทั้งปวงไว้หลายอย่าง เช่น ธรรมตา, ธรรมธาตุ, ธรรมฐิติตา, ธรรมนิยามตา, ซึ่งแต่ละคำก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พุทธธรรมะคือสิ่งหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวเอง มีความถูกต้องและเป็นอิสระในตัวเองโดยสมบูรณ์ มันเป็นกฎของจักรวาลหรือเป็นกฎเกณฑ์อันหนึ่งของธรรมชาติ ซึ่งคงอยู่ชั่วนิรันด์และมิไดถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นสภาพที่มีอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม มิได้ทรงอุบัติก็ตาม สภาวะที่เรียกว่า ธรรมะ นั้น ก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้เปลี่ยนแปลงอย่างอื่น ดังพุทธพจน์ตรัสว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งป่วงเป็นอนัตตา”๔
ทั้ง ๓ ลักษณะนี้เรียกว่ากฎของธรรมดาหรือธรรมชาติ ข้อหนึ่งและสองใช้กล่าวถึงธรรมชาติของสังขตธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ส่วนข้อสุดท้ายใช้กล่าวถึงธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตานั้นใช้กล่าวถึงทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม ดังพุทธพจน์ที่มาในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย เป็นหลักฐานยืนยันข้อความข้างบนนั้นได้เป็นอย่างดีคือ
“ตถาคตเจ้าจะอุบัติขึ้นก็ตาม จะไม่อุบัติขึ้นก็ตามธรรมเหล่านี้ก็คงอยู่อย่านั้น ตั้งอยู่อย่างนั้น และเป็นอยู่อย่างนั้น คือสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ธรรมเหล่านี้ตถาคตได้รู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเองแล้วจึงได้นำมาประกาศแก่คนอื่น”
ได้ความว่าทั้งสังขตธรรมและสังขตธรรมที่กล่าวมานั้นรวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงอันเป็นสภาวะที่มีอยู่เดิม และคงอยู่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นก็ตามไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวะนั้นก็คงอยู่อย่างนั้น มิได้ถูกสร้างขึ้นมิได้ถูกทำลายโดยผู้ใดผู้หนึ่ง พระพุทธเจ้ามิได้เป็นผู้สร้างขึ้น เป็นเพียงผู้ค้นพบแล้วนำมาสอนคนอื่นเท่านั้นดังพุทธพจน์ว่า “พวกเธอจงพยายามทำความเพียรบากบั่นเองเถิด เราตถาคตเป็น แต่ผู้บอกแนวทางให้เท่านั้น”๕
๒.๒.ลักษณะที่เป็นคำสอน
ลักษณะคำสอนนี้ก็รวมอยู่ในคำว่า สิ่งทั้งปวงนั้นเอง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างไรหรือมีอะไรที่พระพุทธองค์ทรงสอน และมีสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสั่งสอน พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีพระนามว่า สัพพัญญู แต่พระองค์มิได้ทรงสอนทุกอย่างที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในการปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่า ธรรมหรือคำว่าศาสนาซึ่งหมายเอาทั้งปริยัติ (ทฤษฎี)และปฏิบัติ และปฏิเวธคือการรู้แจ้งแทงตลอดด้วย จะเห็นได้ว่าพุทธภาษิตนั้นเป็นคติเตือนใจของพุทธศาสนิกชนได้ จนบางครั้งสามารถเป็นกำลังใจและสามารถมีผลทำให้คนหยุดกระทำความชั่วได้นอกจากนั้นสุภาษิตก็ยังได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นพระธรรมวินัย เป็นที่พึ่งแทนพระองค์สมดังพุทธวจนะมาในมหาปรินิพพานสูตรความว่า
“อานนท์ พวกเธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า พระธรรมวินัยมีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มีแล้ว, อานนท์ พวกเธอทั้งหลายไม่ควรเข้าใจอย่างนั้นแล้ว สำหรับพวกเธอทั้งหลายนั่นแล จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว”๖
พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมแก่ประชาชนด้วยวิธี ๓ อย่างด้วยกัน และวิธีการทั้ง ๓ นี้ถือว่าเป็นหลักการสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีข้อดังนี้๗
๑) พระองค์ทรงสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
๒) ทรงสั่งสอนมีเหตุผลที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓) ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การปฏิบัติ
อีกนัยหนึ่งเนื้อหาสาระแห่งพระโอวาทที่พระองค์ทรงประทานแก่พุทธบริษัทเสมอๆนั้น ประมวลลงในหลักการ ๓ อย่างคือ๘
๑ ) สั่งสอนให้เว้นจากการทำบาปทั้งปวง ทุจริต
๒) สั่งสอนให้ทำกุศลทั้งปวง
๓) ทำจิตให้ผ่องแผ้ว
ในคัมภีร์ทีฆนิกายกล่าวยืนยันถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธปัญหาทางอภิปรัชญา ๑๐ ประการเรียกว่า อพยากตปัญหาหรือปัญหาโลกแตก แต่พระองค์ทรงตรัสสอนอริยสัจ ๔ ประการเป็นคำสอนของพระองค์ คือ เรื่องทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ และทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นคำสอนของเราตถาคต โปฏฐปาทะทูลถามต่อไปอีกว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงสอนสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสอรรถาธิบายต่อไปอีกความว่า
“ที่เราสอนเรื่องนี้ เพราะมันเป็นประโยชน์ เป็นความจริง เป็นวิถีแห่งชีวิตอันประเสริฐ ไม่ติดอยู่ในโลก เป็นไปเพื่อดับตัณหา เป็นไปเพื่อความสงบระงับใจ เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง และเป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดังนั้นเราจึงได้นำมาสอนแก่สาวกทั้งหลาย”๙
จากพุทธพจน์นี้ชี้ให้เห็นว่า อริยสัจ ๔ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเป็นคำสอนที่พระองค์ทรงเน้นให้เห็นถึงปัณหาชีวิตในปัจจุบันที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามประสบอยู่สิ่งนั้นคือ ทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ชีวิตเต็มไปด้วยทุกข์ในบางครั้งที่รู้สึกว่าเป็นสุขนั้นเป็นเพียงความหลงเท่านั้น ที่แท้แล้วสิ่งที่เรียกว่าสุขนั้น ก็คือความทุกข์นั้นเอง ทุกข์ดังกล่าวนี้เกิดมาจากตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาก็ไม่มีทุกข์อีกต่อไป พุทธภาษิตแล้วมีลักษณะทางคำสอนดังนี้คือ
๑ )หลักคำสอนในพุทธศาสนา เป็นหลักธรรมทางเสรีภาพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีหลักการและวิธีการอันไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เมื่อบุคคลประพฤติปฏิบัติตามย่อมได้ผลทันตา
๒ ) พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้เลิกละความเป็นทาสภายในใจตนเองนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ
๓.) พุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์ทั้งปวงอยู่กันด้วยความมีเสรีภาพไม่เบียดเบียนกัน ให้เลิกดูหมิ่นกัน เพราะถือชาติ วรรณะ โคตร โดยมองให้เห็นว่าเป็นแก่นสารแห่งชีวิต แต่กลับสอนให้มนุษย์มองถึงฝ่ายใน คือความมีศีลธรรมเป็นเกณฑ์ในการตัดสิ้นคนดีหรือชั่ว
๔.) หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักการเสียสละ การเว้นการฆ่าสัตว์ตลอดถึงการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พุทธภาษิตเน้นวิธีการให้เกิดความสังคมสงเคราะห์ แทนการเอาเปรียบกันและกัน และสอนให้หันมาชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดแทนซึ่งเป็นการทำบุญที่สูงสุด
๕ ) พุทธพุทธเจ้ามุ่งสั่งสอนวิธีตรงเข้าหาความจริงและให้รู้จักกับความเป็นจริงของชีวิต โดยมองว่าชีวิตมนุษย์มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ รวมทั้งสอนให้รู้จักดำเนินชีวิตให้ตรงไปตรงมาไม่ควรเชื้อเรื่องฤกษ์ยาม น้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่กับสอนให้รู้จักทำช่วยตนเองเป็นหลักสำคัญ และสอนให้มนุษย์เข้าใจถึงการเกิดในภพต่างๆ เพราะแรงแห่งตัณหาเป็นปัจจัย
๖.) พุทธภาษิต เป็นวิธีการสอนให้แก้ความเสื่อมทางศีลธรรม โดยไม่มองข้ามปัญหาทางเศรษฐกิจ สอนให้แก้ความชั่วด้วยความความดี สอนให้แก้ที่ตัวเราเองก่อน โดยไม่คอยเกี่ยงให้คนทั้งโลกดีหมดแล้วจึงจะดีเป็นคนสุดท้าย
๗ ) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์ตระหนักถึงเรื่องของสติปัญญาในการดำเนินชีวิต โดยให้ใช้ความรอบคอบในการแก้ไขปัญหา ด้วยการพิจารณาให้เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ แล้วแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ให้เชื้ออย่างงายไร้เหตุผล
๘ ) พุทธภาษิตมุ่งเน้นให้มนุษย์ยึดถือธรรมเป็นใหญ่ เรียกว่าธรรมาธิปไตย ไม่ให้ยึดถือตนเป็นสำคัญ และให้ถือการปฏิบัติเป็นสำคัญในการบูชา
๙.) พุทธภาษิตมุ่งสอนให้มนุษย์พยายามพึ่งตนเอง และฝึกฝนตนเองมากกว่าพึงพาผู้อื่น เพื่อยกระดับชีวิตตนเองให้ก้าวหน้า ไม่สอนให้รอการอ้อนวอนบวงสรวงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยึดหลักว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของๆตน ด้วยการทำดีได้ดีนั้นเอง
๑๐ ) พุทธภาษิตพยายามไม่สอนให้พุทธบริษัทอย่าเชื้อถือสิ่งได้ด้วยการเด่า แต่ให้เชื่อหลักของพุทธศาสนาที่มีหลักการดีกว่า
๑๑ ) พุทธภาษิตเสนอหลักการให้มนุษย์ทำความดีงามเพราะเห็นแก่ความดี ไม่ทำความดีเพื่อมุ่งลาภ ยศ สรรเสริญ และพุทธศาสนาก็มีหลักการที่พิสูจน์ได้ทุกสมัย
๑๒ ) พุทธภาษิตต้องการให้มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน ยิ่งเป็นฆราวาสย่อมต้องใช้หลักธรรมนี้ให้มาก เพราะการครองเรือนที่มีความสุขได้ต้องมีทรัพย์เป็นเครื่องค้ำจุน จึงจะตั้งตัวได้ดี
๑๓ ) พุทธภาษิตต้องการให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ระงับการจองเวรต่อกัน และอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้แก่ผู้อื่น ให้รู้จักการผูกไมตรีต่อกัน โดยการเอื้อเพื้อเผือแผ่แก่กันและกันคือสละสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตและสุดท้ายก็สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
๑๔ ) พุทธภาษิตต้องการสอนให้มนุษย์มีความอดทน ต่อสู้กับความลำบากต่างๆเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย ไม่เป็นคนอ่อนแอ และขณะเดียวเมื่อมีความสุขก็อย่าได้หลง ให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตจึงจะพบกับความสุข ดังนั้นพุทธภาษิตก็ยังพยายามให้คนรู้จักรักษากายวาจาและใจของตนให้เป็นปกติ
๑๕ ) พุทธภาษิตต้องการเสื่อให้เห็นหลักการปกครองที่เป็นธรรม โดยยึดหลักความละอายต่อความบาป และความชั่วทั้งหลาย ทั้งผู้นำรัฐและผู้ปกครองในระดับท้องถิ่นควรมีหลักธรรมอย่างนี้ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อย่าดูหมิ่นผู้อื่นเพราะชาติตระกูล เพราะทรัพย์ และอย่ามีอคติต่อกัน เจ้านายก็ให้รู้จักใช้บ่าว ตลอดถึงการรู้จักเลือกคบกับมิตรที่ดี เว้นบาปมิตร
๑๖ ) พุทธภาษิตสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าในการดำเนินชีวิต และสอนให้รู้จักการศึกษา เข้าหาผู้เป็นบัณฑิต และเว้นพาลชน เพื่อความก้าวหน้าแห่งตน และสอนให้รู้จักแบ่งปันกันเพื่อความผาสุขแห่งสังคม และอย่าได้ก่อศัตรูขึ้นมาโดยถือว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีดีที่สมบูรณ์ แต่ให้มองหาความดีของผู้อื่น และสอนให้มองดูธรรมชาติโดยความเป็นจริง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่เป็นทุกข์ และต้องพยายามเดินตามแนวทางสายกลางย่อมเป็นประตนและผู้อื่นตลอดถึงประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน
๑๗. ) พุทธภาษิตสอนให้ยึดปรมัตถ์ประโยชน์ อย่าหลงในสิ่งอันเป็นสิ่งสมมติอันเป็นสิ่งบัญญัติ แต่ดูโดยรู้เท่าทัน พยายามใช้ปัญญาเป็นเครื่องส่องทางแห่งชีวิตตน พุทธภาษิตสอนให้รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณว่าเป็นสิ่งมงคล และสอนให้รู้จักหลักการดำเนินไปสู่พระนิพพาน ว่าเป็นยอดแห่งความสุข

ຜຍາກ້ຽວ

๓) ผญาเกี้ยว
เป็นคำผญา พูดจากัน เพื่อเป็นสื่อในการติดต่อซึ่งกันและกันนั้นคนอีสานเรียกว่า การจ่ายผญา บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล๒๒ กล่าว่าการจ่ายผญานั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนปัญญาก่อนไม่สามารถพูดจาตอบโต้ได้ก็จะแสดงว่าฝ่ายนั้นมีภูมิปัญญาด้อยกว่าอีกฝ่าย ฉะนั้นการจ่ายผญาจึงเป็นวิธีการทดสอบภูมิปัญญาขอบคนอีกอย่างหนึ่งที่นิยมกันของชาวอีสานในอดีต ด้วยเหตุนี้คนอีสานในสมัยก่อนจึงต้องเรียนรู้ คำผญา ไว้ให้มากที่สุด เท่าที่จะหาได้ โดยเรียนจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือญาติพี่น้องของตนเองบ้าง แล้วจึงไปเรียนรู้จากผู้เฒ่าผู้แก่ ที่มีความรู้ในหมู่บ้านของตน วิธีเรียนนั้นก็ใช้วิธีบอกโดยผู้เรียนต้องจำเอาตามที่ผู้สอนบอก เรียกว่ามุขปาฐะนั้นเองคำผญาที่เรียนในช่วงแรกๆจะเป็นคำผญาที่จำเป็นต้องใช้ในชีวีตประจำวัน เช่นคำผญาเกี่ยวกับการถามข่าว ถึงสาระทุกข์สุขของกันและกัน ใช้ถามถึงพ่อแม่ พี่น้อง หรือถามถึงสถานภาพทางครอบครัวว่ายังโสดหรือว่ามีแฟนแล้ว จึงพัฒนามาเป็นผญาเกี้ยวระหว่างหนุ่มสาว ใช้จ่ายผญาติดต่อกัน
นอกจากนี้ยังมีการจ่ายผญาในประเพณีต่าง คือประเพณี อ่านหนังสือผูก หรือในงานบุญต่างๆที่ชาวบ้านจัดขึ้น เช่น งานงันเฮือนดี (งานศพ) งานงันหม้อกรรม( การฉลองสตรีที่อยู่ไฟหลังคลอด) เป็นต้น ชาวบ้านจะมาร่วมชุมนุมช่วยเหลือกันด้วยน้ำใจไมตรี หรือในเวลาลวงข่วงเข็นฝ้าย ในการตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง และในงานลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นโอกาสที่หนุ่มสาวได้พบกัน วิสุทธิ์ บุษยกุล ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องวรรณกรรมอีสาน ได้เล่าถึงการจ่ายผญาเกี้ยวของหนุ่มสาวชาวอีสานไว้ว่า
…ในงานวัดใหญ่ๆ จะมีหญิงสาวจากหมู่บ้านต่างๆมาเที่ยวงาน หญืงสาวเหล่านี้จะมารวมกันอยู่ที่ปะรำที่ทางวัดจัดไว้โดยแยกเป็นหมู่บ้าน ส่วนพวกชายหนุ่มและไม่หนุ่ม ทั้งหลายที่เดินผ่านไม่ หากเห็นว่าปะรำไหนมีสาวงามเป็นที่ต้องตาต้องใจตน ก็จะแวะเข้าไปนั่งคุยแทะโลมตามแต่จะทำได้ ถ้าหากว่าหญิงนั้นเป็น “จ้าคารม” คือมีคำคมและภาษิตต่างๆ มากพอที่จะนำมาใช้แทนการสนทนาปราศรัยสามัญแล้วฝ่ายชายเองก็จำต้องหาสำนวนและคารมโต้ตอบ ถ้าหากฝ่ายชายเองก็มีความรู้ในทางทัดเทียมกันการเกี้ยวพาราสีของชายหญิงคู่นั้นจะอยู่ในระดับสูง คำพูดทุกประโยคจะมีอุปมาอุปไมยแทรกอยู่เสมอ ผู้ฟังจะต้องคอยตีความหมายอยู่ตลอดเวลา๒๓
สำหรับหนุ่มสาวที่มาร่วมงาน ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ประลองคารมด้วยการจ่ายผญาเครือกัน เป็นการสร้างบรรยากาศของงานให้เป็นที่สนุกสนานครึกครื้น โดยเฉพาะในงานศพนั้น ชาวบ้านจะมาอยู่เป็นเพื่อนบ้านเจ้าภาพในตอนกลางคืน ผู้เฒ่าผู้แก่จะฟังการอ่านหนังสือผูก (เรื่องที่นิยมอ่านส่วนใหญ่จะเป็นนิทานคติธรรม คือชาดกนอกนิบาตเช่นเรื่องการเกด ก่ำกาดำ ศิลป์ไชย นางผมหอม เสียวสวาสดิ์ จำปาสี่ต้น ผาแดงนางไอ่) ส่วนฝ่ายหนุ่มๆก็ได้โอกาสจ่ายผญาต่อสาวที่ตนเองสนใจเป็นพิเศษ
ลักษณะทางสงคมชนบทอีสานนั้นเป็นสังคมแบบเกษตรกรรม มีระบบการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเอง ดังนั้นจึงหน้าอันสำคัญของชายหญิงคือการทำกสิกรรมและหัตถกรรมต่างๆประเพณีการจ่ายผญาเกี้ยวของหนุ่มสาวชาวอีสานจึงสัมพันธ์กับวิถีชีวิต ช่วงเวลาที่หนุ่มสาวจะได้พบกันมาก หลังจากเก็บเกี้ยวข้าวเสร็จคือในช่วงของฤดูหนาวและฤดูร้อน ในช่วงนี้เองที่เป็นโอกาสอันเหมาะสำหรับชายหนุ่มจะได้ไปเยือนฝ่ายหญิงในตอนกลางคืน จึงมีประเพณีการไปเกี้ยวสาวลงข่วงเข็นฝ่าย ดังตัวอย่าง
สาว บ่เป็นหยังดอกอ้ายเห็นชายมาก็อบอุ่น ย่านแต่เพิ่นพุ่นบ่มาผ่ายกลายทาง
อ้ายมาหยังมื้อนี้มีลมอันใดพัด ซ่วยขจัดความในใจน้องแน่นา…อ้ายเอย
(ไม่เป็นไรหรอกพี่ เมื่อเห็นพี่มาก็อบอุ่น น้องยิ่งหวั่นว่าพี่จะเดินผ่านไปบ้านอื่น พี่มีธุระอะไรหรือ ลมอะไรพัดมาจึงมาถึงบ้านน้อง ช่วยตอบให้หายข้องใจด้วยเถิด)
หนุ่ม โอนอหล้าเอ้ย การที่มามื้อนี้ความกกว่าอยากได้ฝ้าย
ความปลายว่าอยากได้ลูกสาวเพิ่น
อันเจ้าผู้ขันหมาแก้วลายเครือดอกผักแว่น
สิไปตั้งแล่นแค่นอยู่ตีนส่วมผู้ใดนอ
(น้องเอยธุระที่มาในวันนี้ ตอนแรกว่าจะมาดูฝ้ายแต่จุดหมายที่แท้จริงคือจะมาดูลูกสาวท่าน น้องผู้เปรียบเสมือนขันหมากลายเถาผักแว่น จะได้ไปประดับในห้องนอนของใครหนอ)
จากคำกล่าวทั้งสองบทนี้ทำให้รู้ว่าการสนทนากันต่างฝ่ายก็ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นคำกล่าวที่เปรียบเทียบถึงความในใจของทั้งสองฝ่าย เมื่อจ่ายผญากันไปเลื่อยๆต่างฝ่ายก็มักจะลงด้วยการพูดมาทั้งหมดนั้นก็ให้เป็นคำพูดจริงไม่หลอกล่วงกัน ดังตัวอย่างว่า
สาว คันบ่จริงน้องบ่เว้า คันบ่เอาน้องบ่ว่า
สัจจาน้องว่าแล้ว สิม้ายม้างแม่นบ่เป็น..เด้อ้าย
(หากไม่จริงใจน้องคงไม่พูด สัจจะของหญิงจะผันแปรไม่ได้หรอก)
หนุ่ม สัจจาผู้หญิงนี้บ่มีจริงจักเทื่อ ชาติดอกเดื่อมันบ่บานอยู่ต้นตนอ้ายบ่เซื่อคน..ดอกนา.๒๔ ( น้ำคำของหญิงไม่เคยพูดจริงสักครั้ง เหมือนดอกมะเดื่อหากไมบานอยู่บนต้น คนย่อมไม่ประจักษ์ถึงความจริง)
ผญาที่สะท้อนให้เห็นภาพของวิถีชีวิตของสังคมชนบทอีสานในอดีตได้เป็นอย่างดี ภาษาที่ถูกถ่ายทอดผ่านมาทางบทกวีนั้นย่อมก่อให้เกิดความบันเทิงใจหรือความสุขใจแก่ผู้ได้ฟังเสมอ ผญาเกี้ยวก็เป็นส่วนหนึ่งในวรรณกรรมอีสานที่บรรพบุรุษได้พยายามถ่ายทอดมาสู่อนุชนรุ่นหลัง แต่ปัจจุบันนี้ได้ลดบทบาทลงไปมาก คนหนุ่มสาวสมัยใหม่ไม่รู้จักคำผญาเกี้ยวเหล่านี้เลยก็มี จะเป็นเพราะวัฒนธรรมต่างถิ่นต่างภาษาเข้ามาแทนวัฒนธรรมเก่าๆ ก็ลดความจำเป็นไป หนุ่มสาวชอบความบันเทิงอย่างอื่นไป
หญิงสาวในอดีตจักรู้จักรักนวลสงวนตัว การแต่งการก็จะระมัดระวัง การจะออกนอกบ้านแต่ละครั้งก็ต้องขออนุญาติ พ่อแม่ หรือไปที่ไหนก็ต้องมีเพื่อนไปด้วย การให้สิทธิและเสรีภาพแก่สตรีในการเลือกคู่ครองของตน ญาติผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวข้องด้วยมีเพียงคอยระวังมิให้ลูกสาวของตนเองเพลี่ยงพล้ำในการเลือก คือคอยสดับรับฟังว่าลูกสาวของตนติดพันอยู่กับใคร และคอยสืบความเป็นอยู่ของผู้นั้น ว่าดีหรือไม่ดี ถ้าเป็นคนดีก็ส่งเสริมให้ลูกของตนผูกไมตรีไว้ให้แน่นแฟ้น ถ้าเป็นคนไม่ดีก็ให้สลัดตัดรอนเสียแต่ต้นลม การเลือกคู่ครองนั้นโบราณอีสานมักจะสอนว่าให้เลือกคนขยัน มีปัญญา และเป็นชายหนุ่มที่ใจกว้างนับถือวงศาคณาญาติดังมีผญาสอนหญิงว่า
เพิ่งเอาผัวให้หาแนวปราชญ์นั้นเนอ ใจฉลาดฮู้คลองแท้สั่งสอน
หญิงใดได้ผัวนามปราชญ์ เป็นที่กล่าวเว้ายอย่องทั่วแดน๒๕
(จะมีสามีให้หาท่านผู้รู้ มีปัญญาฉลาดรู้จารีตประเพณีโบราณ หญิงคนใดได้สามีอย่างนี้ เป็นที่นิยมทั่วไป ) ผู้ชายที่รู้จักปรัชญาในการครองเรือน หรือได้ผ่านการบวชเรียนเขียนอ่านมาแล้วจะเป็นที่หมายป้องของสตรีในอดีตมาก เพราะเป็นคนที่มีความอดทน รู้หลักของนักปราชญ์ ทั้งในคดีโลกและคดีธรรม ภูมิปรัชญาท้องถิ่นอีสานนั้นมักไม่นิยมเลือกคู่ชีวิตโดยมุ่งหาแต่สาวที่สวยงาม แต่กลับพบว่ามักจะสอนให้เลือกเอาคนที่มีความดี รู้การบ้านการเรือน รู้ธรรมเนียมของหญิง ไม่เป็นเกียจคร้าน ดังผญาคำสอนว่า
อันหนึ่งครั้นจักเอาหญิงให้เป็นนางใภ้ฮ่วมเฮือน
หญิงใดฮู้ฉลาดตั้งต่อการสร้างก็จึงเอานั้นเนอ
อันหนึ่งรู้ฮีตเฒ่าสอนสั่งตามคลอง
การเฮือนนางแต่งแปลงบ่มีคร้าน
หญิงนี้ควรเอาแท้เป็นนางใภ้ฮ่วมเฮือน๒๖
ผญาเกี้ยวที่นำมาเสนอในที่นี้เพื่อการศึกษาถึงคนในสังคมอดีต จึงมิใช่เป็นการเรียกร้องหรือเหนี่ยวรั้งภาพสะท้อนถึงวิถีชิวิตในอดีตให้หวนกลับคืนมาได้อีก เพราะนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อยาก แต่เป็นการศึกษาเพื่อให้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมภาษาที่สะภาพถึงวิถีทางสังคมในปัจจุบัน นั้นคือรากฐานดั่งเดิมทางวัฒนธรรมประเพณีตลอดถึงวิสัยทัศน์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น นั้นคือความเป็นเราอย่างแท้จริง
คำผญาเกี้ยว นี้เป็นคำที่หนุ่มสาวใช้พูดจากัน เพื่อให้เกิดความรักใคร่ซึ่งกันและกัน มักจะกล่าวเป็นคำกลอนคล้องจองกันเป็นคำเปรียบเทียบ นิยมพูดถึงรูปร่างลักษณะ ฐานะ ยศศักดิ์ ของบุคคลนั้น